ของหวาน เป็นอาหารที่ทานหลังมื้ออาหารหลัก ขณะที่พจนานุกรมเคมบริดจ์นิยามว่าเป็น อาหารรสหวานที่ทานหลังมื้ออาหารหลัก[1] คำว่า "ของหวาน" ครอบคลุมถึงอาหารที่มีส่วนประกอบหลักเป็นน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต (confections) เช่น บิสกิต เค้ก คุกกี้ ไอศกรีม ไปจนถึงเครื่องดื่ม เช่น ไวน์ของหวานและลิเคียวร์ ของหวานในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน เช่น ในสหรัฐจะประกอบด้วยแป้งพาย พุดดิง เค้ก ไอศกรีม ในขณะที่อังกฤษจะประกอบด้วยผลไม้ ถั่วเปลือกแข็งและไวน์ของหวาน ส่วนในฝรั่งเศสจะประกอบด้วยเนยแข็ง ผลไม้และไวน์[2]

ของหวาน
ของหวานหลากชนิด
รูปแบบอื่นหลากหลาย (บิสกิต, เค้ก, ทาร์ต, คุกกี้, เจลาติน, ไอศกรีม, แป้งพาย, พาย, พุดดิง, คัสตาร์ด และอื่น ๆ)

คำว่า dessert ในภาษาอังกฤษมีรากศัพท์มาจากคำในภาษาฝรั่งเศส desservir ที่แปลว่า เก็บโต๊ะ[3] ไมเคิล ครอนเดิลกล่าวในหนังสือ A History of Dessert ว่าที่มาของคำนี้มาจากการที่ของหวานจะถูกเสิร์ฟหลังอาหารก่อนหน้าถูกเก็บออกไป[4] การทำของหวานมีมาตั้งแต่สมัยเมโสโปเตเมียและอินเดียโบราณ[5] ต่อมามีการปลูกอ้อยและการแปรรูปน้ำตาล ทำให้ของหวานเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ชาวยุโรปเริ่มทำของหวานทานเป็นครั้งแรกในช่วงยุคกลาง[6] เมื่อมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 ของหวานก็เป็นที่นิยมมากขึ้นจากการค้นพบวิธีผลิตน้ำตาลจำนวนมากที่ง่ายขึ้น และวิทยาการในการถนอมอาหาร[7]

อ้างอิง

แก้
  1. Dessert - Cambridge English Dictionary
  2. Dessert - Encyclopædia Britannica
  3. "Dessert". Merriam-Webster Dictionary. Merriam-Webster Incorporated. สืบค้นเมื่อ 15 October 2012.
  4. Drzal, Dawn. "How We Got to Dessert". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 23 October 2012.
  5. Kondl, Michael (2011). Sweet Invention: A History of Dessert. Chicago IL: Chicago Review Press. ISBN 978-1-55652-954-2.
  6. Sweets throughout Middle Age Europe and the Middle East - College of Engineering, Bucknell University
  7. KOREA Magazine February 2017 - Google Books
  NODES