รัฐ
รัฐ (อังกฤษ: state) เป็นหน่วยการเมืองที่มีบทบาทในการผูกขาดการใช้อำนาจการปกครองสังคมและพลเมืองภายในดินแดนใต้อธิปไตยของตน[1] ประกอบกับมีองค์กรอย่างรัฐบาลที่ทำหน้าที่ในการปกครองรัฐชาติสมัยใหม่[2][3]
ประเทศส่วนใหญ่มักมีรูปแบบการปกครองในลักษณะที่เป็นเอกเทศ โดยมีการแบ่งรูปแบบการปกครองไว้ ได้แก่ รัฐเดี่ยว หรือ สหพันธรัฐ ในบริบทของรูปแบบหลังคำว่า "รัฐ" อาจใช้เพื่อนิยามว่าการเมืองการปกครองดังกล่าวอยู่ในลักษณะของรัฐที่มีสิทธิหรืออำนาจในการปกครองในแต่ละพื้นที่ หรือภูมิภาคที่อยู่ภายใต้การรับผิดชอบของตน อำนาจสูงสุดจะมาจาก "รัฐบาลกลาง" หรือ "รัฐบาลสหพันธ์" ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของหลาย ๆ รัฐ มาประกอบกันเป็น "สหพันธรัฐ" (คำศัพท์อื่น ๆ ที่นำมาใช้แบ่งเขตการปกครองของรัฐบาลกลางอาจเรียกว่า "จังหวัด" "ภูมิภาค" แล้วแต่ตามที่รัฐได้กำหนดไว้)
การเกิดขึ้นของรัฐอธิปไตยในสังคมมนุษย์มีมานานหลายสหัสวรรษ ทว่าสังคมมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์โดยส่วนใหญ่มักอาศัยอยู่ในรูปแบบของ "สังคมไร้รัฐ" รูปแบบของรัฐที่เก่าแก่ที่สุดเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 5,500 ปีก่อน[4] ประจวบกับพัฒนาการทางสังคม เช่น การขยายตัวของเมือง การประดิษฐ์ระบบการเขียน และการประมวลศาสนาแบบใหม่
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปรัฐแต่ละรัฐต่างก็มีรูปแบบพัฒนาการที่แตกต่างกันออกไป โดยอ้างเหตุผลสำหรับการดำรงอยู่ของรัฐไว้หลากหลายแนวคิด (ไม่ว่าจะเป็น ทฤษฎีเทวสิทธิ์ หรือ ทฤษฎีสัญญาประชาคม ฯลฯ) ปัจจุบันรัฐชาติสมัยใหม่มักมีรูปแบบการปกครองที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานโดยประชาชนเป็นหลัก[5] รัฐอธิปไตยจะต้องได้รับการรับรองซึ่งสิทธิและอำนาจอธิปไตยในการปกครองของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างถูกต้องตามพฤตินัย รวมถึงจะต้องได้รับการยอมรับจากรัฐเอกราชอื่นอีกเช่นกัน
คำว่า "รัฐ" ถูกนิยามไว้หลากหลายความหมาย[6][7] ในข้อนิยามของ มัคส์ เวเบอร์ (Max Weber) ได้ระบุเอาไว้ว่า "รัฐ" เป็นองค์กรทางการเมืองรูปแบบหนึ่งที่ทำหน้าที่รักษาและผูกขาดอำนาจในการใช้ความรุนแรงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แม้ว่าคำนิยามดังกล่าวจะเป็นเรื่องที่ได้รับการยอมรับโดยสามัญ[8][9] แต่สภาวะไร้รัฐก็มิได้ขัดขวางการดำรงอยู่ของสังคม เช่น สมาพันธ์โฮดีโนโชนี (Haudenosaunee Confederacy) ที่เป็นตัวอย่างของ "รัฐไร้สัญชาติ" ซึ่งมิได้มีสถาบันหรือบทบาททางการเมืองอย่างแท้จริงหรือโดยพฤตินัย[10] การบริหารงานราชการถือเป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินกิจการและบทบาทของรัฐบาลประกอบกับเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาว่าการดำรงอยู่ของรัฐสมัยใหม่นั้น ๆ[11][12] ว่าประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวมากน้อยเพียงใด[13]
ศัพทมูลวิทยา
แก้คำว่า "รัฐ" ในภาษาไทย มาจากคำว่า รฏฺฐ (raṭṭha) แปลว่า แคว้น บ้านเมือง ประเทศ หรือภูมิภาค[14] มีรากร่วมกับคำว่า ราษฺฏฺร (राष्ट्र; rāṣṭra) ในภาษาสันสกฤต[15] ขณะที่คำว่า "state" ในภาษาอังกฤษมีรากร่วมกับคำศัพท์ในตระกูลภาษายูโรเปียน (ตรงกับคำว่า stato ในภาษาอิตาลี, estado ในภาษาสเปนและภาษาโปรตุเกส, état ในภาษาฝรั่งเศส, Staat ในภาษาเยอรมันและภาษาดัตช์ ฯลฯ) ทุกคำที่กล่าวมาข้างต้นล้วนแต่สืบสร้างมาจากคำว่า status ในภาษาละติน ที่แปลว่า "เงื่อนไข หรือ สถานะ" ซึ่งก็สามารถย้อนความไปถึงคำว่า stare ที่แปลว่า "ยืนหยัด" ซึ่งหมายถึงการคงอยู่หรือความมั่นคงที่แฝงไปด้วยนัยยะของความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ในฐานะหน่วยงานทางการเมืองรูปแบบหนึ่ง
ในฐานะคำนามภาษาอังกฤษ state แปลว่า "เงื่อนไข หรือ สถานะ" โดยมีการบัญญัติความหมายของคำนี้ไว้ก่อนที่จะกลายเป็นศัพท์ทางการเมือง คำ ๆ นี้ปรากฏให้เห็นตั้งแต่ในภาษาอังกฤษสมัยกลางราว ๆ ค.ศ. 1200 ซึ่งก็หยิบยืมมาจากภาษาฝรั่งเศสเก่าที่สืบทอดมาจากภาษาละตินอีกทอดหนึ่ง
เมื่อมีการฟื้นฟูกฎหมายโรมันขึ้นในยุโรปราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 คำ ๆ นี้ก็มีสถานภาพทางกฎหมาย หมายถึง สถานภาพของบุคคลในสังคม (เช่น "ฐานันดรแห่งราชอาณาจักร" อันได้แก่ ขุนนาง สามัญชน และนักบวช) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานะอันพิเศษของกษัตริย์ผู้มั่งคั่ง สูงศักดิ์ และมีอำนาจสูงสุดเหนือทั้งหมดทั้งปวงภายใต้ราชอาณาจักร นอกจากนี้คำว่า state นี้ยังมีความหมายที่เชื่อมโยงกับแนวคิดของโรมัน (ย้อนกลับไปถึงยุคของ กิแกโร) เกี่ยวกับแนวคิดเรื่อง "status rei publicae" หรือ "เงื่อนไขสาธารณะ" จนกระทั่งในเวลาต่อมาคำ ๆ นี้ก็ได้มีความหมายที่เปลี่ยนไปจากเดิม โดยมิได้มีบริบทที่หมายถึงสถานภาพของกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งในสังคมอีกต่อไปและเริ่มมีความหมายที่เชื่อมโยงกับกฎระเบียบทางสังคมหรือเครื่องมือในการบังคับใช้กฎหมายโดยรัฐในเวลาต่อมา[16]
ผลงานของ มาเกียเวลลี ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 (ตัวอย่างเช่น เจ้าผู้ปกครอง) มีส่วนสำคัญในการนิยามความหมายของคำว่า "รัฐ" นิยามที่ระบุไว้ในงานประพันธ์ของมาเกียเวลลีถือว่ามีความหมายที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับความหมายของโลกทัศน์สมัยใหม่พอสมควร[17] การแยกความต่างระหว่างศาสนจักรกับรัฐยังคงปรากฎให้เห็นตลอดจนถึงศตวรรษที่ 16 เมื่อรัฐสิบสามอาณานิคมในภูมิภาคอเมริกาเหนือได้ระบุถึงสถานภาพของประเทศของตนว่า "state" และในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1630 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ก็ทรงเคยตรัสวลีหนึ่งขึ้นมาว่า "ตัวข้าคือรัฐ" (L'État, c'est moi) แม้จะไม่มีหลักฐานใดมายืนยันอย่างแน่ชัดแต่ก็มีการจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในภายหลังตั้งแต่ช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 18[18]
คำนิยาม
แก้ปัจจุบันยังมิได้มีข้อเอกฉันท์ทางวิชาการอย่างชัดเจนต่อนิยามของคำว่ารัฐ[6] ความหมายคำว่า "รัฐ" นั้นมีชุดทฤษฎีที่แตกต่างกันไปผ่านการตีความของแต่ละบุคคลแต่ก็ยังมีจุดเชื่อมโยงและมักจะมีความหมายที่ทับซ้อนกันอยู่เสมอตามแต่บริบทของสถานการณ์ทางการเมือง ณ ขณะนั้น[7] หากอ้างอิงตามคำนิยามกระแสหลักของ วอลเตอร์ ไชเดิล (Walter Scheidel) เจ้าตัวได้ระบุว่ารัฐมีลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้: "รัฐเป็นสถาบันที่มีอำนาจแบบรวมศูนย์ ซึ่งคอยกำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ และใช้อำนาจเหนือประชากรที่อยู่ภายในดินแดนใต้การปกครองของตน เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นถึงความต่างทางชนชนชั้นระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง รวมถึงความต่างระหว่างองค์ประกอบของเอกราชหรือความมั่นคง ข้อแตกต่างเหล่านี้ส่งผลให้รัฐเป็นหน่วยการเมืองที่มีความแตกต่างไปจากรูปแบบขององค์กรอื่น ๆ ซึ่งมีความมั่นคงทางอำนาจน้อยกว่าอย่างการใช้อำนาจปกครอง"[19]
ข้อนิยามที่ถูกนำมาอ้างอิงมากที่สุดคือคำจำกัดความของ มัคส์ เวเบอร์[20][21][22][23][24] ที่ได้นิยามว่ารัฐเป็นองค์กรทางการเมืองภาคบังคับที่มีรัฐบาล ซึ่งคอยทำหน้าที่รวมศูนย์อำนาจและผูกขาดการใช้ความรุนแรงอย่างถูกต้องตามกฎหมายภายในดินแดนใต้อาณัติของตน[8][9] กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ "รัฐเป็นชุมชนของมนุษย์ที่ (ประสบความสำเร็จในการ) อ้างสิทธิ์ผูกขาดการใช้อำนาจทางกายภาพอย่างถูกต้องตามกฎหมายภายใต้ดินแดนของตน"[25]
เนื่องจากผู้คนมักสับสนถึงความหมายระหว่างคำว่า "รัฐ" กับ "ชาติ" อยู่อย่างเสมอ ดังนั้นนิยามของคำว่ารัฐจึงต้องแยกออกจากนิยามของคำว่าชาติอย่างชัดเจน โดยปกติแล้ว "รัฐ" หมายถึงหน่วยงานทางการเมืองที่มีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนที่กำหนด และมีลักษณะที่เป็น "นามธรรมทางการเมือง-กฎหมาย" มากกว่า ขณะที่นิยามของคำว่า "ชาติ" จะยึดโยงอยู่กับอัตลักษณ์ทางการเมือง ปัจจัยทางวัฒนธรรม หรือในเชิงประวัติศาสตร์เสียมากกว่า ที่สำคัญคำว่า "ชาติ" มิใช่สิ่งที่มีคุณลักษณะของความเป็นองค์กร เช่น ขอบเขตทางภูมิศาสตร์ ผู้มีอำนาจ หรือเจ้าพนักงาน และจะไม่มีการอ้างสิทธิ์ใด ๆ ในการผูกขาดการใช้อำนาจอย่างถูกต้องตามกฎหมายเหนือประชาชนของตน[26] ขณะที่รัฐมีทุกอย่างดังที่เวเบอร์ได้ระบุไว้ ตัวอย่างของรัฐที่ไม่มีการผูกขาดอำนาจการใช้ความรุนแรงสามารถเห็นได้จากกลุ่มประเทศในภูมิภาคแอฟริกา ซึ่งมีความอ่อนแอและขาดประสิทธิภาพในการปกครองตนเองเป็นอย่างมากเนื่องจากขาดปัจจัยอย่างการทำสงครามกับรัฐภายนอกต่างจากกลุ่มประเทศในภูมิภาคยุโรป[27] เราไม่ควรสับสนระหว่างคำว่ารัฐกับรัฐบาลเนื่องจาก "รัฐบาล" คือ องค์กรที่ได้รับมอบหมายอำนาจให้ดำเนินกิจการใด ๆ ก็ตามในนามของรัฐ รัฐไม่ควรสับสนกับสังคมเพราะ "สังคม" หมายถึง กลุ่มองค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้นผ่านขบวนการเคลื่อนไหวและความเป็นปัจเจกอย่างอิสระ โดยไม่พยายามที่จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลหรือการครอบงำของรัฐ
นอยเบอร์เกอร์ (Neuberger) ได้เสนอนิยามของคำว่ารัฐที่ต่างไปจากของเวเบอร์เล็กน้อย โดยที่ยังคำนึงถึงคุณลักษณะของความเป็นชาติอยู่เสมอ: รัฐ หมายถึง "การแสดงออกถึงศักยภาพในการรักษาเสถียรภาพของความเป็น (ชาติ) ด้วยความจำเป็นอย่างมั่นคงและถาวร"[28]
นิยามของคำว่ารัฐยังคงขึ้นอยู่กับการตั้งคำถามว่ารัฐเกิดขึ้นมาได้อย่างไรและด้วยเหตุอันใด มุมมองแบบสัญญาประชาคมเสนอว่ารัฐเกิดขึ้นมาก็เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงผลประโยชน์ของตนจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคมได้[29] หากไม่มีรัฐก็จะเกิดความวุ่นวายขึ้นในสังคม[30] ในมุมมองของนักทฤษฎีสัญญาประชาคมมองว่าบทบาทของรัฐจะต้องมุ่งเน้นไปที่การจัดสรรอำนาจและแก้ไขความขัดแย้งในสังคมเพื่อผลประโยชน์ระหว่างบุคคลภายในรัฐ กลับกันในมุมมองของนักปกครองกลับมองว่ารัฐจะต้องมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขความไม่ลงรอยกันระหว่างผลประโยชน์ของประชาชนกับผลประโยชน์ของรัฐ ชาลส์ ทิลลี (Charles Tilly) ได้นำเสนอไปไกลถึงขนาดนิยามว่ารัฐก็ "เปรียบเสมือนองค์กรอาชญากรรมรูปแบบหนึ่งที่คิดจะขู่กรรโชกทรัพย์เราอยู่ตลอดเวลา"[31] ทิลลียังเสริมอีกว่ารัฐประกันความคุ้มครองจากตัวเองแก่ประชาชน[32] และตั้งคำถามกลับว่าทำไมประชาชนถึงจะต้องไว้ใจรัฐ เพราะในเมื่อประชาชนด้วยกันก็ยังมิอาจไว้วางใจซึ่งกันและกันได้
ทิลลีได้ให้คำนิยามกับรัฐต่างๆ ว่าเป็น "องค์กรที่บีบบังคับซึ่งแยกตัวออกจากครัวเรือนหรือกลุ่มเครือญาติเพื่อใช้เรียงลำดับความสำคัญที่ชัดเจนในบางประเด็นเหนือองค์กรอื่น ๆ ทั้งหมดภายในดินแดนที่กว้างขวาง"[33] รัฐชาติในที่นี้มิได้หมายถึงเพียงแค่นครรัฐ รัฐโลกวิสัย หรือจักรวรรดิ สำหรับทิลลีร่องรอยของความเป็นรัฐปรากฎให้เห็นในประวัติศาสตร์มนุษยชาติตั้งแต่ 6,000 ปีก่อนคริสตกาลผ่านหลักฐานชั้นต้นอย่างบันทึกทางโบราณคดี และเริ่มปรากฎให้เห็นในยุโรปราว ค.ศ. 990 แต่โดดเด่นขึ้นเป็นพิเศษราว ๆ ค.ศ. 1490 เป็นต้นไป ทิลลีได้กำหนด "กิจกรรมขั้นต่ำที่จำเป็น" ของรัฐไว้ดังนี้:
- การทำสงคราม – "การกำจัดหรือทำให้อิทธิพลของคู่แข่งของตนลดลง"
- การสร้างรัฐ – "การกำจัดหรือทำให้คู่แข่งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของตน"
- การป้องกัน – "การกำจัดหรือทำให้ศัตรูของรัฐต้องยินยอม"
- การสกัดกั้น – "การได้มาซึ่งปัจจัยในการดำเนินกิจกรรมสามประการแรก"
- การตัดสินใจ – "การระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน"
- การกระจายสินค้า – “การแทรกแซงการจัดสรรสินค้าเพื่อผลประโยชน์ระยะยาวของประชาชน”
- การผลิต – "การควบคุมการสร้างหรือการแปรรูปสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน"[34][35]
ที่สำคัญคือทิลลีชี้ให้เห็นว่าสงครามเป็นส่วนสำคัญต่อการสร้างรัฐแต่ก็สามารถทำลายรัฐได้ในเวลาเดียวกัน[36]
คำจำกัดความทางวิชาการสมัยใหม่ของรัฐมักควบรวมเกณฑ์ที่ว่ารัฐจะต้องได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ[37]
ความคิดแบบเสรีนิยมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เป็นไปได้ของรัฐโลกวิสัยดังคำกล่าวของ จอห์น ล็อก (John Locke) ที่ว่า เป้าหมายของ "รัฐ" หรือ "เครือจักรภพ" คือ "การรักษาทรัพย์สิน" (ความเรียงที่สองว่าด้วยการปกครอง) โดยที่คำว่า "ทรัพย์สิน" ในงานของล็อกมิได้เจาะจงเพียงแค่ทรัพย์สินส่วนบุคคลแต่เพียงเท่านั้นแต่ยังรวมถึงชีวิตและเสรีภาพ ด้วยเหตุนี้รัฐจึงเป็นรากฐานสำคัญต่อการรักษาไว้ซึ่งการดำเนินกิจการร่วมกันทางสังคม โดยสร้างแรงจูงใจผ่านการสร้างความมั่งคั่งเพื่อมอบหลักประกันทั้งในด้านของการคุ้มครองชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สินส่วนบุคคลของประชาชน อดัม สมิธ (Adam Smith) เสนอว่าการจัดสรรทรัพยากรเพื่อสาธารณประโยชน์ถือเป็นบทบาทหลักที่รัฐพึงต้องปฏิบัติ[38] เนื่องจากสินค้าเหล่านี้อาจมิได้รับการจัดสรรอย่างเพียงพอ ทิลลีได้ท้าทายต่อลักษณะของความเป็นรัฐว่าเป็นผลที่เกิดขึ้นจากผลพวงของหลักสัญญาประชาคมหรือการดำเนินกิจการภายใต้เศรษฐกิจแบบตลาดเสรี โดยเขามองว่ารัฐมีลักษณะคล้ายกับไม้กางเขนที่ทำหน้าที่คุ้มครองประชาชนผ่านโครงสร้างของรูปแบบกลุ่มอาชญากร[39]
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์กับนักปรัชญาการเมืองได้วิพากษ์ถึงแนวโน้มการผูกขาดโดยรัฐ[40] ตัวอย่างเช่น รอเบิร์ต โนซิก (Robert Nozick) ได้ให้เหตุผลว่าการใช้ความรุนแรงโดยธรรมชาติมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การผูกขาดซึ่งอำนาจรัฐ[41]
ปัญหาที่ทำให้เกิดความสับสนระหว่างข้อนิยามของคำว่า "รัฐ" กับ "รัฐบาล" คือมักถูกใช้เป็นคำพ้องความหมายในการสนทนาทั่วไปหรือแม้แต่วาทกรรมทางวิชาการบางหัวข้อ สรุปแล้วคำนิยามของรัฐชาติถือว่าเป็นตัวแสดงที่มิได้มีตัวตนทางกายภาพตามคุณลักษณะของกฎหมายระหว่างประเทศ ขณะที่รัฐบาลถือเป็นองค์กรที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยประชาชน[42] ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐบาลคือการทำหน้าที่เป็นตัวแสดงและหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายอำนาจการบริหารงานราชการ[43]
องค์ประกอบของรัฐ
แก้คำนิยามที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปอีกประการหนึ่งของรัฐคือคำนิยามที่ระบุไว้ในอนุสัญญากรุงมอนเตวิเดโอว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของรัฐในปี ค.ศ. 1933 ที่กำหนดว่า "องค์ประกอบของรัฐชาติในฐานะตัวแสดงหนึ่งตามคุณลักษณะของกฎหมายระหว่างประเทศจะต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้:
รัฐกับประชากร
แก้รัฐเป็นสิ่งที่ช่วยชี้ให้เห็นถึงความต่างระหว่างคำว่า "ชาติ" กับ "รัฐชาติ" ออกมาอย่างชัดเจน คำว่า "ชาติ" (nation) หมายถึงชุมชนทางวัฒนธรรมและการเมืองโดยประชาชน ขณะที่คำว่า "รัฐชาติ" (nation state) หมายถึงดินแดนที่มีกลุ่มประชากรซึ่งมีชาติพันธุ์เดียวกันและเกี่ยวโยงกับรัฐใดรัฐหนึ่งโดยเฉพาะ
ขณะที่ "ประชากร" หมายถึง กลุ่มบุคคลผู้ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของชาตินั้น ๆ ที่มารวมตัวกันอยู่ในพื้นที่หรือดินแดนเดียวกันไม่ว่าบุคคลในชาตินั้นจะมีเชื้อชาติเดียวกันหรือไม่ก็ตาม แม้ว่าโลกในศตวรรษที่ 21 จะถือว่ารัฐมีศักยภาพในการเชื่อมโยงพลเมืองภายใต้การปกครองของตนเข้าไว้ด้วยกันแต่ก็มิได้หมายความว่าจุดมุ่งหมายดังกล่าวจะประสบความสำเร็จหรือเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอไป หากรัฐหลาย ๆ รัฐสามารถรวมตัวกันให้กลายเป็นประเทศเดียวกันได้ รัฐเหล่านั้นจะถูกเรียกว่า รัฐประชาชาติ (national state) หรือ รัฐชาติ (nation state) นอกจากนี้ยังมีแนวคิดในเรื่องของสัญชาติที่ทำหน้าที่ระบุว่าบุคคลคนนั้นเป็นพลเมืองของรัฐใดไม่ว่าอำนาจอธิปไตยในการปกครองของรัฐดังกล่าวจะครอบคลุมมากกว่าชาติใดชาติหนึ่งหรือไม่ก็ตาม
รัฐกับดินแดน
แก้ดินแดนทำหน้าที่ในการกำหนดขอบเขตอำนาจอธิปไตยทางภูมิศาสตร์ของแต่ละรัฐ หลักการสำคัญของความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่คือจะต้องมีอาณาเขตหรือดินแดนที่ตั้งอย่างชัดเจนไม่ว่าจะทั้งในทางบก ทางทะเล หรือในทางอากาศ บทบัญญัติของหลักการดังกล่าวเรียกว่า "สิทธิโดยแผ่นดิน"
การกำหนดเขตแดนมิใช่ปัญหาหลักสำหรับ "รัฐโบราณ" หรือ "รัฐจารีต" แต่สำหรับรัฐชาติสมัยใหม่ที่มีอายุยังน้อยก็ยังคงมีปัญหาอยู่บ้างหลายประการกรณีตัวอย่างเช่น การที่อดีตรัฐอาณานิคมหลายรัฐได้รับดินแดนเพิ่มจากเดิมในสมัยหลังอาณานิคมหรือยิ่งไปกว่านั้นในกรณีของอดีตประเทศที่เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหภาพโซเวียต เป็นต้น นอกจากนี้การพูดคุยกันถึงองค์ประกอบบางประการของการแบ่งเขตแดนก็ยังคงได้รับการถกเถียงในแวดวงวิชาการอยู่อย่างสม่ำเสมอ
รัฐกับรัฐบาล
แก้รัฐสามารถแยกความแตกต่างออกจากรัฐบาลได้ตรงที่ว่า "รัฐ" คือ องค์กร ขณะที่ "รัฐบาล" คือ กลุ่มบุคคลที่เจาะจงโดยเฉพาะ โดยมีระบบราชการที่ควบคุมกลไกในการดำเนินกิจการของรัฐนั้น ๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง[44][45][46] กล่าวคือรัฐบาลเป็นเครื่องมือในการใช้อำนาจรัฐ รัฐแต่ละรัฐจะได้รับการบริหารงานโดยรัฐบาลต่าง ๆ ที่สืบทอดกันอย่างต่อเนื่อง[46] รัฐเป็นวัตถุทางสังคมที่ไม่มีสาระสำคัญและไม่มีรูปแบบทางกายภาพ ขณะที่รัฐบาลเป็นกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในการดำเนินกิจการในฐานะรัฐบางประการ[47]
รัฐบาลที่สืบทอดกันมาในแต่ละสมัยประกอบไปด้วยกลุ่มบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญและมีสิทธิพิเศษในการผูกขาดการตัดสินใจทางการเมืองโดยปราศจากการต่อรองทางอำนาจจากองค์กรใดองค์กรหนึ่งหรือประชาชน
องค์กรทางการเมืองและกฎหมาย
แก้องค์กรทางการเมืองและกฎหมายมีวัตถุประสงค์ก็เพื่อรับประกันสถานภาพและความมั่นคงของอำนาจอธิปไตยภายใต้เขตแดนของประเทศนั้น ๆ องค์กรนี้มีลักษณะสำคัญอยู่ทั้งหมดสามประการ ได้แก่:
สถานภาพเชิงศีลธรรม
แก้รัฐเป็นองค์กรที่มีสิทธิและอำนาจในการดำรงอยู่ด้วยตัวของมันเองและเป็นอิสระต่อกันภายใต้ระบอบระหว่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิ์ในการปกครองตนเอง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในองค์ประกอบหลักของรัฐที่มีลักษณะเป็นแบบถาวรจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพหรือระยะเวลาในการดำเนินการตัดสินใจของรัฐนั้น ๆ
อำนาจอธิปไตย
แก้รัฐจะต้องมีอำนาจอธิปไตยในการปกครองตนเอง การได้มาซึ่งอำนาจอธิปไตยจะต้องไม่ขึ้นอยู่กับการดำเนินการจากรัฐอื่นแต่อย่างใดและจะต้องไม่มีกลุ่มหรือองค์กรทางสังคมใดที่มีอำนาจเหนือไปกว่ารัฐ ขอบเขตอำนาจอธิปไตยโดยรัฐจะต้องครอบคลุมทั้งระบอบภายในและระบอบระหว่างประเทศ[48] จะในฐานะรัฐเดี่ยวหรือรัฐสหพันธ์ก็ตาม[49] และอำนาจอธิปไตยก็สามารถถูกจำกัดได้มากน้อยเพียงใดก็ได้ผ่านความสมัครใจ ตัวอย่างเช่น หมู่เกาะคุก และ ประเทศนีวเว ที่ต้องการสิทธิในการดำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยตนเอง โดยปราศจากอำนาจการตัดสินใจของประเทศนิวซีแลนด์ เป็นต้น
ตามหลักการของ มัคส์ เวเบอร์ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิและความชอบธรรมในการปกครองรัฐจะต้องผูกขาดอำนาจในการใช้ความรุนแรง เช่น กิจการของกองทัพ ตำรวจ หรือ อำนาจตุลาการ ที่จะต้องอยู่ภายใต้การดำเนินการและบริหารงานโดยรัฐบาล การใช้อํานาจโดยรัฐสามารถแบ่งออกได้อย่างกว้าง ๆ เป็นทั้งหมดสองประเภทดังนี้:
- อํานาจในการจัดระเบียบสังคม: รัฐสามารถควบคุมกิจกรรมและบทบาทของพลเมืองที่อาศัยอยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยของตนได้ผ่านการใช้อำนาจนิติบัญญัติหรือในทางกฎหมาย
- อํานาจในการริเริ่มบทบาทการบริหารงานราชการภายในพื้นที่: ตัวอย่างเช่น รัฐสามารถออกแบบและบริหารนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและการให้บริการแก่ชุมชนได้ โดยบทบาทดังกล่าวมีอิทธิพลสําคัญอย่างมากต่อรัฐที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยนับตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 19
รูปแบบของรัฐ
แก้ชาลส์ ทิลลี จำแนกรูปแบบของรัฐไว้ทั้งหมดสี่ประเภทดังนี้ ได้แก่ จักรวรรดิ รัฐโลกวิสัย นครรัฐ และรัฐชาติ ตามความเห็นของ ไมเคิล แมนน์ (Michael Mann) หน้าที่หลักอันเป็นหลักการสากลของรัฐมีทั้งสิ้นสี่ประการ ได้แก่:
- การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงภายในชาติ
- การปกป้องประเทศจากการรุกรานทางการทหาร
- การทำนุบำรุงรักษาไว้ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานทางการสื่อสาร
- การดำเนินนโยบายกระจายรายได้ทางเศรษฐกิจ[50]
โจเซฟ โคโลเมอร์ (Josep Colomer) ชี้ให้เห็นถึงความต่างระหว่างคุณลักษณะของจักรวรรดิกับรัฐไว้ดังนี้:
- จักรวรรดิมีอาณาเขตที่กว้างขวางกว่ารัฐอย่างชัดเจน
- จักรวรรดิมีอาณาเขตที่ไม่ชัดเจนหรือถาวร ขณะที่รัฐมีขอบเขตที่ชัดเจนและมั่นคง
- จักรวรรดิมี "ศูนย์กลางทางอำนาจที่หลากหลาย โดยไม่ขึ้นตรงกับดินแดนใดดินแดนหนึ่ง" ขณะที่รัฐมี "ศูนย์กลางทางอำนาจสูงสุดเหนือดินแดนและประชากรภายใต้การปกครองของตนทั้งปวง"
- จักรวรรดิมีขอบเขตอำนาจตุลาการที่ทับซ้อนกันหลายระดับ ขณะที่รัฐผูกขาดอำนาจตุลาการแต่เพียงผู้เดียวและมีการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด[51]
ตามการจำแนกของ ไมเคิล เฮกเตอร์ (Michael Hechter) และ วิลเลียม บริวสไตน์ (William Brustein) รัฐชาติสมัยใหม่มีคุณลักษณะที่แตกต่างจาก "สันนิบาตแห่งนครรัฐอิสระ จักรวรรดิ สมาพันธรัฐ และสหพันธรัฐตามระบอบประชาธิปไตย" สี่ประการดังนี้:
- รัฐชาติสมัยใหม่จะต้องแสวงหาความสำเร็จในการขยายอำนาจและควบรวมดินแดนของตนให้อยู่ภายใต้การปกครองเดียวกัน
- รัฐชาติสมัยใหม่จะต้องประสบความสำเร็จในการควบคุมกิจกรรมทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนภายใต้ขอบเขตอำนาจอธิปไตยของตน
- รัฐชาติสมัยใหม่จะต้องสถาปนาสถาบันการปกครองที่แยกออกจากสถาบันทางสังคมรูปแบบอื่นออกอย่างชัดเจน
- ผู้ถืออำนาจการปกครองของรัฐชาติสมัยใหม่มีศักยภาพในการผูกขาดอำนาจการใช้ความรุนแรงแต่เพียงผู้เดียว[52]
นักปรัชญาการเมืองอาจจำแนกรัฐต่าง ๆ ว่าเป็น "รัฐอธิปไตย" ก็ต่อเมื่อรัฐเหล่านั้นมิได้ขึ้นตรงหรืออยู่ภายใต้อำนาจการปกครองจากรัฐอื่น ๆ ทั้งในเชิงอำนาจอธิปไตยภายนอกหรือการใช้อำนาจครอบงำ[53] รูปแบบของรัฐที่เกิดจากการรวมตัวกันอยู่เป็นหลาย ๆ รัฐเรียกว่า "สหพันธรัฐ" เป็นรูปแบบของรัฐที่การบังคับใช้อำนาจอธิปไตยและรัฐธรรมนูญขึ้นอยู่กับรัฐบาลส่วนกลางแห่งสหพันธ์ (คล้ายกับระบอบสมาพันธรัฐของสมาพันธรัฐสวิส) รูปแบบของรัฐดังกล่าวมีความแตกต่างจากรัฐอธิปไตยทั่วไปตรงที่รัฐย่อยในแต่ละรัฐนั้น ๆ ได้ถ่ายโอนอำนาจอธิปไตยบางส่วนของตนไปขึ้นตรงกับรัฐบาลสหพันธ์อย่างสมบูรณ์[54]
ในบางกรณีเราสามารถจำแนกรูปแบบต่าง ๆ ของรัฐได้อย่างง่าย ๆ ตามองค์ประกอบหรือจุดเด่นที่พบเห็นได้ชัด แนวคิดเกี่ยวกับรัฐในทางทฤษฎีหรือในอุดมคติซึ่งยึดโยงกับความเป็น "ชาติ" ได้รับความนิยมอย่างมากในยุโรปช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในภูมิภาคอื่นหรือในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ในทางตรงกันข้ามรัฐบางรัฐมีความพยายามที่จะสร้างคุณธรรมผ่านการสร้างความหลากหลายทางเชื้อชาติหรือข้ามชาติ (เช่นในกรณีของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีกับสหภาพโซเวียตเป็นต้น) ซึ่งได้เน้นย้ำให้เห็นถึงคุณลักษณะที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพลเมืองทุกคนผ่านการนำเสนอในรูปแบบของระบอบอัตตาธิปไตย ความชอบธรรมของกษัตริย์หรืออุดมการณ์ทางการเมือง ส่วนรัฐที่ปกครองด้วยระบอบฟาสซิสต์หรือระบอบอำนาจนิยมมักส่งเสริมแนวคิดในเรื่องความเหนือกว่าทางเชื้อชาติ[55] รัฐที่นิยมชมชอบในระบอบดังกล่าวอาจนำแนวคิดในเรื่องของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือการไม่แบ่งแยกมานำเสนอ: เช่นระบอบการปกครองแบบ res publica ของโรมโบราณ กับ Rzeczpospolita ของ เครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนีย ซึ่งระบอบที่กล่าวมาข้างตนยังมีอิทธิพลสำคัญต่อรูปแบบการปกครองของสาธารณรัฐสมัยใหม่มาจนถึงปัจจุบัน
แนวคิดที่ว่าด้วย "รัฐฆราวาส" ซึ่งคอยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของศาสนา หรือ "นครรัฐ" ที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นรูปแบบการปกครองที่ค่อนข้างแพร่หลายและประสบความสำเร็จมาตั้งแต่สมัยโบราณ[56][57] ได้ถูกลดทอนบทบาทและความสำคัญลงในยุคร่วมสมัย นครรัฐขนาดเล็กที่ยังมีเอกราชและอธิปไตยเป็นของตนในโลกสมัยใหม่ ได้แก่ นครรัฐวาติกัน ราชรัฐโมนาโก และ สาธารณรัฐสิงคโปร์ รวมถึงนครรัฐที่รวมตัวกันอยู่ในรูปแบบของสหพันธรัฐตัวอย่างเช่น รัฐของประเทศเยอรมนี หรืออาจเป็นเขตปกครองตนเองที่อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยที่จำกัดในระดับหนึ่งตัวอย่างเช่น ฮ่องกง ยิบรอลตาร์ และ เซวตา การแบ่งแยกเมืองหรือการสร้างนครรัฐใหม่ (ทั้งในรูปแบบของรัฐอธิปไตยหรือสหพันธรัฐ) ก็ยังคงมีการหารือกันอยู่ตลอดในช่วงต้นของศตวรรษที่ 21 เช่นในกรณีของกรุงลอนดอน เป็นต้น
รัฐกับภาคประชาสังคม
แก้ในความคิดทางการเมืองแบบคลาสสิกรัฐถูกระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนการเมือง สังคมการเมือง และภาคประชาสังคม ขณะที่ความคิดทางการเมืองสมัยใหม่ทำให้รัฐชาติกลายเป็นสิ่งที่โดดเด่นขึ้นมาในฐานะรูปแบบของสังคมการเมืองภาคประชาสังคมและในรูปแบบของสังคมเศรษฐกิจ[58] ดังนั้นแล้วความเป็นรัฐชาติในชุดความคิดแบบสมัยใหม่ย่อมต้องขัดแย้งกับความเป็นภาคประชาสังคมอย่างแน่นอน[59][60][61]
อันโตนีโอ กรัมชี (Antonio Gramsci) เชื่อว่าภาคประชาสังคมเป็นรากฐานที่สำคัญต่อกิจกรรมทางการเมือง เช่น การสร้างอัตลักษณ์ การต่อสู้ทางอุดมการณ์ การจัดกิจกรรมโดยกลุ่มปัญญาชน หรือ การใช้อำนาจครอบงำ และภาคประชาสังคมเองก็ทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมโยงให้กับขอบเขตทางเศรษฐกิจและการเมือง สิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำร่วมกันของภาคประชาสังคม กรัมชีเรียกสิ่งนี้ว่า "สังคมการเมือง" โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของแนวคิดเรื่องรัฐในฐานะการเมืองว่าการเมืองมิใช่กระบวนการรูปแบบเดียวของการจัดการทางการเมือง แต่เป็นการที่กิจกรรมขององค์กรภาคประชาสังคมที่กำหนดเงื่อนไขกิจกรรมของพรรคการเมืองหรือสถาบันของรัฐ และในทางกลับกันภาคประชาสังคมก็ถูกกำหนดโดยกิจกรรมรูปแบบเหล่านั้นอีกทอดหนึ่ง[62][63] ขณะที่ หลุยส์ อัลตูแซร์ (Louis Althusser) มีความเห็นแย้งว่าองค์กรภาคประชาสังคมเช่น โบสถ์ โรงเรียน และครอบครัว เป็นส่วนหนึ่งของ "กลไกรัฐเชิงอุดมการณ์" ซึ่งเติมเต็ม "กลไกรัฐที่กดขี่" (เช่น ตำรวจและทหาร) ในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม[64][65][66]
เยือร์เกิน ฮาแบร์มาส (Jürgen Habermas) ชี้ให้เห็นถึงปริมณฑลสาธารณะว่ามีความแตกต่างไปจากปริมณฑลทั่วไปทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมือง[67]
หากพิจารณาถึงบทบาทของกลุ่มก้อนทางสังคมในจำนวนที่หลากหลาย การพัฒนานโยบายสาธารณะและการเชื่อมโยงระหว่างระบบราชการโดยรัฐกับสถาบันอื่น ๆ การระบุขอบเขตของรัฐอย่างกว้าง ๆ จึงกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้น การแปรรูปและการโอนกิจการของเอกชนมาเป็นของรัฐ รวมถึงการสร้างหน่วยงานกำกับดูแลขึ้นมาใหม่ยังได้เปลี่ยนขอบเขตหน้าที่และบทบาทของรัฐซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสังคมด้วย บ่อยครั้งที่สถานภาพขององค์กรเสมือนอิสระจะมีความไม่ชัดเจนจึงทำให้เกิดข้อถกเถียงในหมู่นักรัฐศาสตร์ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐหรือภาคประชาสังคมหรือไม่มากน้อยเพียงใด นักรัฐศาสตร์บางคนมักจะพูดถึงเครือข่ายทางนโยบายและการปกครองแบบกระจายอำนาจในสังคมสมัยใหม่มากกว่าจะพูดถึงระบบราชการหรือการควบคุมนโยบายโดยตรงของรัฐ[68]
สัญลักษณ์
แก้สัญลักษณ์ประจำชาติทำหน้าที่แสดงให้เห็นถึง "อัตลักษณ์" และ "ค่านิยม" โดยพื้นฐานของแต่ละรัฐชาติไม่เพียงแต่รัฐที่มีอำนาจอธิปไตยเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงประเทศที่ตกอยู่ในสถานภาพอาณานิคมอีกด้วย
ความเป็นมา
แก้การเกิดขึ้นของรัฐในรูปแบบแรกสุดคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตามที่ผู้ใช้อำนาจมีศักยภาพในการที่จะรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางอย่างมีเสถียรภาพ เงื่อนไขที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการเกิดขึ้นของรัฐ คือ การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ การทำเกษตรกรรมเช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ หรือข้าวฟ่าง เนื่องจากเป็นธัญพืชที่สามารถผลิตได้ในปริมาณที่มาก[69][70][71][72] หรือแม้แต่การจัดเก็บภาษี การจดบันทึก และการจัดสรรทรัพยากร[69][73][74][75] ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นล้วนแต่เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนภายในรัฐทั้งสิ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเกษตรกรรมเป็นการเปิดทางไปสู่การมีชนชั้นทางสังคมที่ผู้คนในสังคมไม่จำเป็นต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในการดำรงชีพด้วยตนเอง การเขียนจดบันทึกที่สามารถทำให้จดบันทึกรวบรวมรวมข้อมูลสำคัญได้ รวมถึงการวางโครงสร้างของระบบราชการก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อำนาจรัฐสามารถขยายขอบเขตออกไปได้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น[76]
อารยธรรมโบราณถือกำเนิดขึ้นในบริเวณภูมิภาคอียิปต์, เมโสโปเตเมีย, ชมพูทวีป, จีน, มีโซอเมริกา และในบริเวณเทือกเขาแอนดีส ความเป็น "สังคมไร้รัฐ" ถูกแทนที่ด้วยความเป็น "รัฐประชาชาติสมัยใหม่" ผ่านการจัดระเบียบทางการเมืองของสังคมทั่วโลก สังคมโบราณแบบกลุ่มนักล่า คนเก็บของป่าล่าสัตว์ หรือแบบชนเผ่าขนาดใหญ่ ทั้งหมดนี้ต่างก็มีรากฐานมาจากวัฒนธรรมการต้อนฝูงสัตว์หรือการทำเกษตรกรรมทั้งสิ้น โดยที่งานวิจัยในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถระบุช่วงระยะเวลาของสังคมไร้รัฐว่ายาวนานมากน้อยเพียงใดได้อย่างชัดเจน แต่สิ่งที่สามารถชี้ให้เห็นชัดได้คือสังคมรูปแบบไร้รัฐกินระยะเวลายาวนานมานับตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์หรือแม้แต่ก่อนการเกิดขึ้นของยุคประวัติศาสตร์และอารยธรรมของมนุษย์อย่างแน่นอน
องค์กรหลักที่มีสถานภาพและอิทธิพลเทียบเท่ากับสถานภาพของรัฐในสมัยโบราณ ตัวอย่างเช่น องค์กรทางศาสนา โบสถ์ หรือ นครรัฐ[77]
นับตั้งแต่ปลายคริสตศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ที่ดินบนโลกสามารถตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยได้เกือบทั้งหมด โลกถูกแบ่งออกเป็นพื้นที่ที่มีเขตแดนชัดเจนไม่มากก็น้อย โดยมีรัฐต่าง ๆ คอยอ้างสิทธิและอำนาจอธิปไตยในการปกครองเขตแดนของตนทั้งสิ้น ทั้งที่ก่อนหน้าก็ไม่เคยมีผู้อยู่อาศัยหรือผู้ใดอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนที่ค่อนข้างใหญ่ขนาดนี้มาก่อน หรืออาจจะมีชนร่อนเร่อาศัยอยู่แต่ก็มิได้ดำรงชีพรวมตัวกันอยู่เป็นแบบรัฐ อย่างไรก็ตามแม้ว่ารัฐชาติสมัยใหม่จะทำหน้าที่ในการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนของตน แต่ก็ยังมีพื้นที่กว้างใหญ่อีกมาก ตัวอย่างเช่น ป่าดิบชื้นแอมะซอนที่อาจจะมีแค่คนพื้นเมืองอาศัยอยู่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นหรือไม่มีเลย (บ้างก็มิได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจากโลกภายนอก) นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เรียกกันว่า "รัฐล้มเหลว" ซึ่งเป็นรัฐที่มิได้มีอำนาจในการปกครองดินแดนที่อ้างสิทธิ์ทั้งหมดในทางพฤตินัยหรือในกรณีที่อำนาจของตนถูกท้าทายเป็นปฏิปักษ์ ปัจจุบันประชาคมระหว่างประเทศประกอบด้วยรัฐอธิปไตยทั้งสิ้นประมาณ 200 รัฐ ในแต่ละรัฐก็จะมีตัวแทนของตนประจำการอยู่ในองค์กรสหประชาชาติซึ่งทำหน้าที่รักษาสันติภาพและความมั่นคงของตนภายใต้ระบอบระหว่างประเทศ
สังคมไร้รัฐในยุคก่อนประวัติศาสตร์
แก้ในประวัติศาสตร์การดำรงอยู่ของมนุษยชาติโดยส่วนใหญ่มักอาศัยอยู่ในรูปแบบ "สังคมไร้รัฐ" ที่มีลักษณะเฉพาะ คือ ขาดการกระจุกตัวและปรากฎให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำเป็นอย่างมากทั้งในเชิงอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง
นักมานุษยวิทยา ชื่อ ทิม อิงโกลด์ (Tim Ingold) ได้ระบุเอาไว้ว่า:
ในองค์ความรู้ทางมานุษยวิทยาที่ปัจจุบันค่อนข้างล้าสมัยนั้น ยังไม่เพียงพอที่จะชี้ให้เห็นว่าคนเก็บของป่าล่าสัตว์รู้สึกอย่างไรกับการอยู่ใน 'สังคมไร้รัฐ' ราวกับว่าชีวิตทางสังคมของพวกเขานั้นขาดหายไปหรือยังไม่สำเร็จมากพอ โดยที่จะต้องรอให้เสร็จสมบูรณ์เสียก่อนผ่านวิวัฒนาการเชิงกลไกโดยรัฐ ในทางกลับกันหลักการสำคัญทางสังคมของคนกลุ่มนั้นดังที่ ปีแยร์ คลาตส์ (Pierre Clastres) ได้กล่าวเอาไว้นั้น โดยพื้นฐานแล้วบุคคลในสังคมไร้รัฐมักจะมี 'ความรู้สึกต่อต้าน' ความเป็นรัฐอยู่เสมอ[78]
ยุคหินใหม่
แก้ในช่วงยุคหินใหม่สังคมมนุษย์มีการปฏิรูปทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจขนานใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการทางด้านเกษตรกรรม การตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างเป็นหลักแหล่ง ความหนาแน่นของประชากรที่เพิ่มขึ้น และการใช้เครื่องมือช่วยในการผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่ดูมีความซับซ้อนมากขึ้นกว่าแต่เก่าก่อน[79][80]
นอกจากนี้ยังมีการเพาะปลูกแบบอยู่ประจำเป็นหลักแหล่ง ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะนำไปสู่การพัฒนาแนวคิดสิทธิในทรัพย์สิน การกสิกรรม การเกิดขึ้นของสังคมแบบครอบครัวใหญ่ มีการจัดเตรียมปัจจัยขั้นพื้นฐานสำหรับบุคคลภายนอกครอบครัวอย่างการผลิตอาหารส่วนเกินจำนวนมาก[81] ส่งผลให้เกิดการแบ่งงานกันมากขึ้นและทำให้ผู้คนมีทักษะอื่น ๆ นอกเหนือไปจากการสรรหาหรือผลิตอาหารได้เอง[82] สถานภาพของรัฐในยุคแรกมีลักษณะของสังคมที่มีการแบ่งชนชั้นออกจากกันอย่างชัดเจน โดยมีชนชั้นปกครองที่มีความมั่งคั่งและสิทธิพิเศษเหนือกว่าพลเมืองโดยทั่วไป ซึ่งชนชั้นดังกล่าวก็ตกอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ "เจ้าผู้ปกครอง" อีกทอดหนึ่ง ชนชั้นปกครองเริ่มสร้างความแตกต่างทางชนชั้นผ่านรูปแบบของสถาปัตยกรรมและขนบธรรมเนียมทางวัฒนธรรมที่ต่างไปจากชนชั้นแรงงานอย่างชัดเจน[83]
มีผู้ที่เสนอว่ารัฐแบบรวมศูนย์ในอดีตได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในการบริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (เช่น การมีระบบชลประทาน) และเพื่อควบคุมกลไกทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนมากขึ้นตามเวลา ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นถึงสภาพวิถีชีวิตและการดำรงอยู่ของสังคมที่รวมตัวกันอยู่แบบหลวม ๆ ไม่ซับซ้อน[84][85] ปราศจากการแบ่งชนชั้นผ่านการกระจายอำนาจทางการเมืองจากหลายแห่ง[86] แม้ว่าหลักฐานทางโบราณคดีและหลักมานุษยวิทยาสมัยใหม่จะไม่สนับสนุนแนวคิดดังกล่าวก็ตาม
สมัยยูเรเซียโบราณ
แก้โดยทั่วไปแล้วอารยธรรมเมโสโปเตเมียถูกจัดให้เป็นอารยธรรมแรกสุดหรือสังคมซับซ้อนแรกสุดของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ซึ่งหมายความว่าอารยธรรมดังกล่าวจะต้องประกอบด้วยนครต่าง ๆ การแบ่งงานเต็มเวลา การกระจุกตัวของทุน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ชนชั้นปกครอง ความสัมพันธ์ของชุมชน ซึ่งขึ้นอยู่กับถิ่นที่อยู่มากกว่าความเป็นญาติมิตร จะด้วยการค้าทางไกล การก่อสร้างสถาปัตยกรรมหรืออนุสรณ์สถานขนาดใหญ่ การมีรูปแบบของศิลปะและวัฒนธรรมที่มีมาตรฐาน การจดบันทึก คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์[87][88] ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลให้อารยธรรมเมโสโปเตเมียถูกจัดให้เป็นอารยธรรมที่มีลายลักษณ์อักษรเป็นแห่งแรกของโลก อิทธิพลของอารยธรรมเมโสโปเตเมียก่อให้เกิดกฎหมายลายลักษณ์อักษรฉบับแรก ๆ ของโลก[89][90] องค์ความรู้ทางด้านโลหะวิทยาของชาวเมโสโปเตเมียได้รับการเผยแพร่ไปทั่วทวีปแอฟโฟร-ยูเรเชียตั้งแต่ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล นำไปสู่การปฏิวัติทางการทหารที่ใช้อาวุธซึ่งทำมาจากทองหรือสัมฤทธิ์เป็นหลัก ส่งผลให้เอื้อต่อการทำสงครามซึ่งจะนำไปสู่การเกิดขึ้นรัฐชาติต่าง ๆ ในเวลาต่อมา[91]
สมัยคลาสสิก
แก้แม้ว่ารูปแบบของรัฐจะมีตัวตนอยู่ก่อนการมาถึงของอาณาจักรกรีกโบราณ แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าชาวกรีกเป็นอานารยชนกลุ่มแรก ๆ ที่ได้กำหนดปรัชญาการเมืองที่ว่าด้วยรัฐไว้อย่างชัดเจน โดยได้วิเคราะห์และจำแนกถึงโครงสร้างของสถาบันทางการเมืองไว้อย่างเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งในยุคก่อนหน้ามีการอธิบายรูปแบบของรัฐต่าง ๆ และให้เหตุผลไว้เพียงแค่ในแง่ของหลักการทางศาสนาแต่เพียงเท่านั้น[92]
นวัตกรรมทางการเมืองที่สำคัญหลายประการในสมัยคลาสสิกมีจุดกำเนิดมาจากนครรัฐกรีกและสาธารณรัฐโรมัน นครรัฐกรีกก่อนคริสตศตวรรษที่ 4 ได้มอบสิทธิความเป็นพลเมืองให้แก่ประชากรของตนอย่างเสรี และในกรุงเอเธนส์สิทธิเหล่านี้ก็ได้ถูกควบรวมเข้ากับรูปแบบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยโดยตรง ซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดให้กับชุดความคิดและประวัติศาสตร์ทางการเมืองในสมัยปัจจุบัน
สมัยฟิวดัล
แก้ในสมัยกลางของยุโรป รัฐได้รับการจัดตั้งขึ้นตามหลักการของ "ระบบศักดินาสวามิภักดิ์" หรือ "ระบบฟิวดัล" ผ่านความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นขุนนางกับข้าราชบริพารกลายเป็นศูนย์กลางของการจัดระเบียบทางสังคมแบบใหม่ที่นำไปสู่การพัฒนาลำดับชั้นทางสังคมที่เข้มข้นและเห็นเด่นชัดมากยิ่งขึ้น[93]
ความขัดแย้งในเรื่องของการจัดเก็บภาษีระหว่างกษัตริย์และชนชั้นต่าง ๆ ในสังคม (โดยเฉพาะชนชั้นนำและประชาชนทั่วไป) ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "บรรษัทนิยมโดยรัฐ" หรือ การถือครองที่ดินขึ้นในสมัยปัจจุบัน ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ คือ มีรัฐสภาไว้สำหรับรวบรวมกลุ่มบุคคลสำคัญในสังคมเพื่อทำหน้าที่เจรจากับกษัตริย์ทั้งในเรื่องของกฎหมายและเศรษฐกิจ ภายใต้โครงสร้างของระเบียบฐานันดรแห่งราชอาณาจักร การปกครองรูปแบบดังกล่าวส่งผลให้อุดมการณ์ของรัฐบ้างก็เป็นไปตามแนวทางของสภา บ้างก็ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของกษัตริย์ ซึ่งทั้งหมดก็นำไปสู่การรวมศูนย์อำนาจทั้งในเชิงนิติบัญญัติและอำนาจทางการทหารที่มากยิ่งขึ้น ระบอบดังกล่าวเริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงต้นของศตวรรษที่ 15 การรวมศูนย์อำนาจรูปแบบนี้ก่อให้เกิดระบอบการปกครองโดยรัฐที่เรียกกันว่า "สมบูรณาญาสิทธิ์"
รัฐชาติสมัยใหม่
แก้การสร้างความเป็นหนึ่งอันเดียวกันทางด้านวัฒนธรรมในระดับชาติมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการเกิดขึ้นของระบบรัฐชาติสมัยใหม่ นับตั้งแต่ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์แต่ละรัฐต่างก็ได้รับการสถาปนาจัดตั้งขึ้นตามพื้นฐานระดับชาติเสียเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามแนวคิดเรื่อง รัฐประชาชาติ (national state) ก็มิได้มีความหมายเหมือนกับคำว่า รัฐชาติ (nation state) เสียทีเดียว แม้แต่ในสังคมที่มีเชื้อชาติเดียวกันเสียเป็นส่วนใหญ่ก็มิได้หมายความว่าจะต้องมีการติดต่อสื่อสารหรือมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างสมบูรณ์ภายในรัฐหรือชาติเสมอไป ดังนั้นหน้าที่และบทบาทของรัฐคือการส่งเสริม "ลัทธิชาตินิยม" อย่างแข็งขัน โดยเน้นไปที่การกำหนดสัญลักษณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำหน้าที่เป็นอัตลักษณ์ประจำชาติ
ชาลส์ ทิลลี ได้ให้เหตุผลว่าจำนวนรัฐทั้งหมดในภูมิภาคยุโรปตะวันตกลดลงอย่างรวดเร็วตั้งแต่สมัยกลางตอนปลายไปจนถึงสมัยใหม่ตอนต้นในระหว่างกระบวนการก่อตัวขึ้นของรัฐ[94] ขณะที่งานวิจัยอื่น ๆ ได้โต้แย้งว่าการลดลงของรัฐในยุโรปตะวันตกนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่อย่างไร[95] ส่วน เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) ได้เคยแสดงความเห็นไว้ว่า "รัฐที่ปราศจากหนทางในการเปลี่ยนแปลงบางประการ ก็ปราศจากหนทางในการอนุรักษ์" (ภาพสะท้อนเกี่ยวกับการปฏิวัติในประเทศฝรั่งเศส)[96]
เฮนดริก สปรูอิต (Hendrik Spruyt) ได้ชี้ให้เห็นว่าการเมืองในยุคของรัฐชาติสมัยใหม่นั้นมีความแตกต่างจากการเมืองในยุคก่อนอยู่สองประเด็นหลัก ได้แก่:
- รัฐชาติสมัยใหม่มีศักยภาพในการแทรกแซงสถานภาพทางสังคมที่อยู่ภายใต้การปกครองของตนมากขึ้น
- รัฐชาติสมัยใหม่ได้รับการสนับสนุนโดยหลักการของอธิปไตยทางกฎหมายระหว่างประเทศและความเท่าเทียมกันทางกฎหมายโดยรัฐ
ลักษณะทั้งสองนี้เริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่สมัยกลางตอนปลายแต่รูปแบบของรัฐชาติสมัยใหม่ใช้เวลาหลายศตวรรษกว่าจะบรรลุผลได้อย่างมั่นคง ลักษณะอื่นนอกเหนือจากนี้ของรัฐชาติสมัยใหม่ก็คือ รัฐเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับการเมืองในระดับชาติ ซึ่งมีความเป็นเป็นเอกภาพและมีระบบราชการที่มีเหตุผลอย่างถูกต้องตามกฎหมายเสียมากกว่า[97]
ความเสมอภาคของอำนาจอธิปไตยไม่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการเมืองระดับโลกอย่างสมบูรณ์ จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่สองท่ามกลางกระแสของการปลดปล่อยรัฐอาณานิคม อดัม เกอตาชิว ได้ระบุเอาไว้ว่ากว่าที่จะมีการรับรองอธิปไตยของประชาชนผ่านบริบททางกฎหมายระหว่างประเทศขึ้นก็ต้องรอจนกว่าจะมีปฏิญญาสากลว่าด้วยการให้อิสรภาพแก่ประเทศและประชาชนภายใต้อาณานิคมใน ค.ศ. 1960[98] นักประวัติศาสตร์ เจน เบอร์แบงก์ และ เฟรเดอริก คูเปอร์ ได้ชี้ให้เห็นว่า ระบบอธิปไตยแบบเว็สท์ฟาเลิน – เป็นแนวคิดที่แสดงให้เห็นถึงขอบเขตอำนาจรัฐที่มีความเป็นเอกภาพและมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐอย่างทัดเทียมกัน – "ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เกี่ยวข้องกับสนธิสัญญาในปี ค.ศ. 1948 มากกว่าสนธิสัญญาที่ร่างขึ้นในปี ค.ศ. 1648"[99]
ทฤษฎีว่าด้วยจุดมุ่งหมายของรัฐ
แก้ทฤษฎีทางการเมืองที่ว่าด้วยรัฐโดยส่วนใหญ่สามารถแบ่งออกเป็นทั้งหมดได้สองประเภท ทฤษฎีแรกเรียกว่า "เสรีนิยม" กับ "อนุรักษนิยม" ซึ่งปฏิบัติต่อระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมตามแบบแผนที่กำหนด จากนั้นจึงมุ่งเน้นไปที่บทบาทและหน้าที่ของรัฐในสังคมระบอบทุนนิยม ทฤษฎีเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะมองว่ารัฐเป็นตัวแทนขององค์กรที่เป็นกลาง ซึ่งแยกออกจากกรอบของสังคมและเศรษฐกิจอย่างชัดเจน ในทางกลับกันทฤษฎีที่สองอย่าง "มากซิสต์" และ "อนาธิปไตย" กลับมองว่าการเมืองเป็นสิ่งที่มีความใกล้ชิดกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก โดยเน้นย้ำไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจทางเศรษฐกิจและอำนาจทางการเมืองเป็นหลัก ทฤษฎีเหล่านี้มักมองว่ารัฐเป็นแค่เครื่องมือของกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ต้องการสนองผลประโยชน์เพื่อชนชั้นนำทางสังคมเสียเป็นส่วนใหญ่
มุมมองอนาธิปไตย
แก้ลัทธิอนาธิปไตยเป็นปรัชญาการเมืองที่ถือว่ารัฐและลำดับชั้นทางสังคมนั้นเป็นสิ่งไม่จำเป็นและเป็นภัยต่อสังคม ลัทธิดังกล่าวสนับสนุนแนวคิดสังคมไร้รัฐหรือสังคมแบบอนาธิปไตย ซึ่งเป็นสังคมที่เน้นไปที่การจัดการและปกครองด้วยตนเองผ่านรากฐานที่ตั้งอยู่บนสถาบันหรือสหกรณ์โดยสมัครใจ
ลัทธิอนาธิปไตยเชื่อว่ารัฐเป็นเครื่องมือในการครอบงำและการปราบปรามโดยธรรมชาติมิว่าผู้ใดจะเป็นผู้ปกครองก็ตาม ผู้นิยมลัทธิอนาธิปไตยตั้งข้อสังเกตว่ารัฐมีอำนาจผูกขาดการใช้ความรุนแรงตามกฎหมาย ซึ่งต่างไปจากแนวคิดของลัทธิมากซ์ พวกอนาธิปไตยเชื่อว่าการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐไม่ควรเป็นแค่เป้าหมายทางการเมืองเพียงอย่างเดียวแต่เชื่อว่าลัทธิอนาธิปไตยจะต้องรื้อถอนกลไกของความเป็นรัฐออกไปให้หมดพร้อมกับสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมชุดอื่นขึ้นมา โดยมิตั้งอยู่บนพื้นฐานของอำนาจรัฐแต่อย่างใด[100][101]
ผู้ที่นิยมลัทธิอนาธิปไตยคริสเตียนหลายคน ดังเช่น ฌัก แอลูล (Jacques Ellul) ได้เคยเปรียบสถานภาพของอำนาจรัฐและการเมืองไว้ในหนังสือวิวรณ์ของตนว่าเป็นสิ่งที่เดรัจฉานต่อสังคมเป็นอย่างมาก[102][103]
มุมมองทุนนิยมอนาธิปไตย
แก้นักทุนนิยมอนาธิปไตย เช่น เมอร์เรย์ ร็อธบาร์ด (Murray Rothbard) ได้เสนอและจำแนกข้อสรุปเกี่ยวกับกลไกของรัฐในมุมมองแบบอนาธิปไตยไว้ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน[104] โดยปกติแล้วหลักการที่ผู้นิยมลัทธิอนาธิปไตยยึดถือมากที่สุดมีทั้งหมด 2 ประการได้แก่ "ความยินยอม" และ "การไม่ริเริ่มในสิ่งใด"[105] ความยินยอมในทฤษฎีทุนนิยมอนาธิปไตยกำหนดให้บุคคลต้องยินยอมต่อขอบเขตอำนาจของรัฐอย่างชัดเจน เว้นแต่ ความยินยอมโดยปริยายของล็อก (Lockean tacit consent) ความยินยอมดังกล่าวมีโอกาสที่จะก่อให้เกิดการแบ่งแยกดินแดนซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อแนวความคิดเกี่ยวกับการผูกขาดการใช้อำนาจความรุนแรงโดยรัฐ[104][106] การผูกขาดอำนาจแบบบีบบังคับถือว่าเป็นสิ่งที่จะต้องถูกแยกออกจากการไม่ริเริ่มการใช้กำลังอย่างชัดเจน เนื่องจากจะต้องใช้กำลังเพื่อป้องกันมิให้กลุ่มบุคคลอื่นเสนอบริการแบบเดียวกับที่นักอนาธิปไตยเป็น นักทุนนิยมอนาธิปไตยมีชุดความเชื่อพื้นฐานที่ว่าการแทนที่อำนาจผูกขาดโดยรัฐด้วยการให้บริการที่มีสิทธิ์แข่งขันนั้นเป็นสิ่งจำเป็นในบริบทเชิงบรรทัดฐานและความยุติธรรมต่อสังคม[105]
นักทุนนิยมอนาธิปไตยเชื่อว่าการแข่งขันและการโอนกิจการของรัฐมาเป็นของเอกชนจะส่งผลในทางที่ดีให้กับมูลค่าทางการตลาดและเศรษฐกิจมากกว่า เมอร์เรย์ ร็อธบาร์ด ได้ระบุเหตุผลของตนไว้ในหนังสือชื่อ อำนาจและการตลาด (Power and Market) ว่าหน้าที่และกิจการใด ๆ ของรัฐบาลจะสามารถบรรลุผลได้ดีกว่าหากหน้าที่นั้นตกอยู่ภายใต้การดำเนินการของตัวแสดงที่เป็นเอกชน โดยที่อำนาจดังกล่าวจะต้องครอบคลุมตั้งแต่อำนาจในการป้องกันประเทศ สิทธิ์ในการผลิตหรือควบคุมสาธารณูปโภคพื้นฐาน และการดำเนินคดีทางกฎหมาย[104]
มุมมองแบบลัทธิมากซ์
แก้มากซ์และเอ็งเงิลส์มีอุดมการณ์ที่ชัดเจนต่อแนวคิดคอมมิวนิสต์ว่าจะต้องเป็น "สังคมที่ปราศจากชนชั้น" ความเป็นรัฐจะต้อง "สูญสลาย" ไป และถูกแทนที่ด้วย "การจัดสรรทรัพยากรด้วยตนเอง" แต่เพียงเท่านั้น[107] โดยอ้างอิงจากรูปแบบของรัฐในอดีตหรือที่ยังหลงเหลืออยู่ผ่านมุมมองเชิงวิเคราะห์และยุทธวิธี แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นก็มิใช่รูปแบบเดียวกับสังคมนิยมยูโทเปียไปเสียหมดซะทีเดียว โดยปกติแล้วกลุ่มบุคคลที่พิจารณาว่าตนเป็นผู้นิยมลัทธิมากซ์จะต้องเป็นผู้ที่มิได้ถืออำนาจรัฐและไม่ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ของการจัดสรรรูปแบบโดยสถาบันทางสังคมอย่างแท้จริง หากอ้างอิงตามหลักหรือขอบเขตที่สมเหตุสมผลแล้วจะพบว่ามิได้มี "ทฤษฎีว่าด้วยรัฐโดยมากซ์" แต่เพียงรูปแบบเดียว เนื่องจากแนวคิดของลัทธิมากซ์ที่อ้างว่ามีความแตกต่างกันไปหลากหลายทฤษฎีทั้งหมดแล้วล้วนแต่ได้รับการพัฒนาและต่อยอดโดยกลุ่มผู้นิยมลัทธิมากซ์ทั้งสิ้น[108][109][110]
งานเขียนในยุคแรก ๆ ของมากซ์เปรียบภาพของรัฐกระฎุมพีไว้ว่าเป็นดั่งปรสิตที่จัดตั้งขึ้นโดยอยู่บนฐานและโครงสร้างส่วนบนทางเศรษฐกิจที่บริหารงานขัดกับผลประโยชน์ของสาธารณะ นอกจากนี้มากซ์ยังได้ระบุไว้อีกว่าสถานภาพของรัฐนั้นเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของชนชั้นทางสังคมโดยทั่วไปที่ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมและปราบปรามการต่อสู้ทางชนชั้น พร้อมกับเป็นเครื่องมืออันจะนำไปสู่การเถลิงขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองและการครอบงำโดยกลุ่มชนชั้นผู้ปกครอง[111] ใน แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ (The Communist Manifesto) ซึ่งเป็นงานเขียนของมากซ์เองก็ได้ระบุเอาไว้ว่ารัฐเปรียบเสมือนเป็น "คณะกรรมการสำหรับการบริหารกิจการโดยทั่วไปของกลุ่มชนชั้นกระฎุมพี"[108]
สำหรับนักทฤษฎีมาร์กซิสต์บทบาทของรัฐกระฎุมพีสมัยใหม่ถูกกำหนดขึ้นโดยหน้าที่ของมันเองผ่านระเบียบของทุนนิยมสากล ราล์ฟ มิลิแบนด์ (Ralph Miliband) เสนอว่าชนชั้นปกครองใช้รัฐเป็นเครื่องมือในการครอบงำทางสังคมโดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐที่มีภูมิหลังเดียวกันกับกลุ่มชนชั้นนายทุน ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองที่ส่งผลให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันกับกลุ่มนายทุนได้ผ่านความสัมพันธ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองรูปแบบต่าง ๆ
ทฤษฎีว่าด้วยรัฐของกรัมชีชี้ให้เห็นว่ารัฐเป็นแค่สถาบันทางสังคมรูปแบบหนึ่งที่คอยสนับสนุนและรักษาอำนาจการครอบงำของกลุ่มชนชั้นปกครอง และอำนาจรัฐเองก็ได้รับการสนับสนุนผ่านความเป็นมิจฉาทิฐิของสถาบันภาคประชาสังคมอย่าง ดังเช่น โบสถ์ โรงเรียน หรือ สื่อมวลชนอีกทอดหนึ่ง[112]
ลัทธิพหุนิยม
แก้แนวคิดแบบพหุนิยมเป็นแนวคิดที่มีมุมมองต่อสังคมว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองระหว่างกลุ่มบุคคลหรือองค์กรต่าง ๆ ในสังคม และมีมุมมองต่อรัฐว่าเป็นองค์กรทางการเมืองที่เป็นกลาง ซึ่งคอยทำหน้าที่แสดงเจตจำนงของกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มใดก็ตามที่สามารถครอบงำกระบวนการเลือกตั้งได้[113] โรเบิร์ต ดาห์ล (Robert Dahl) ได้พัฒนาทฤษฎีว่าด้วยรัฐในแนวคิดแบบพหุนิยมไว้ว่ารัฐบาลเป็นเพียงแค่เวทีที่เป็นกลางสำหรับการแสวงหาผลประโยชน์โดยมีหน่วยงานส่วนอื่น ๆ ของรัฐคอยทำหน้าที่เป็นกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองอีกชุดหนึ่ง ด้วยอำนาจที่จัดสรรไว้ให้มีการแข่งขันในสังคมนี้เองนโยบายโดยรัฐจึงเป็นแค่ผลผลิตของการเจรจาต่อรองที่เกิดขึ้นอย่างซ้ำไปซ้ำมา แม้ว่าแนวคิดพหุนิยมจะตระหนักถึงการมีอยู่ของความไม่เท่าเทียมกันในสังคมแต่ในทางกลับกันภาคประชาสังคมก็มีสิทธิและเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์รัฐ นอกจากนี้แนวคิดแบบพหุนิยมยังได้เสนอแนะว่าการกระทำของรัฐประชาธิปไตยยุคใหม่เป็นผลมาจากแรงกดดันที่ถูกใช้งานโดยกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นมา ดาห์ลเรียกระบอบการปกครองของรัฐประเภทนี้ว่า "ระบอบพหุนิยม"[114]
แนวคิดแบบพหุนิยมได้ถูกท้าทายถึงการมีอยู่เป็นอย่างมากเนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานเชิงประจักษ์ จากการสำรวจจะพบว่าบุคคลากรส่วนใหญ่ที่มีสิทธิในการดำรงตำแหน่งผู้นำระดับสูงมักมาจากชนชั้นหรือฐานันดรที่สูงส่งและร่ำรวย นักวิพากษ์สายพหุนิยมมักอ้างว่าประสงค์ของรัฐมีหน้าที่เป็นแค่ตรายางในการรักษาผลประโยชน์ของชนชั้นนำทางสังคมมากกว่าที่จะรับใช้ผลประโยชน์ของทุกชนชั้นในสังคมอย่างเท่าเทียมกัน[115][116]
มุมมองเชิงวิพากษ์ร่วมสมัย
แก้เยือร์เกิน ฮาแบร์มาส มีมุมมองต่อกลไกที่ตั้งอยู่บนฐานและโครงสร้างส่วนบนของสำนักมาร์กซิสต์ที่ใช้เพื่ออธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและเศรษฐกิจว่าเป็นสิ่งที่เรียบง่ายเกินไป ฮาแบร์มาสรู้สึกว่ารัฐสมัยใหม่มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการวางรากฐานที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างก็เช่น บทบาทในการควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคทางเศรษฐกิจรายใหญ่ผ่านนโยบายอย่างรัฐสวัสดิการแบบแจกจ่ายซ้ำ ซึ่งกิจกรรมรูปแบบดังกล่าวก็เป็นการจัดสรรโครงสร้างทางเศรษฐกิจแบบองค์รวม ดังนั้นจุดมุ่งหมายของรัฐในมุมมองของฮาแบร์มาสจึงไม่สมควรที่จะถูกประเมินค่าว่าเป็นแค่การตอบสนองอย่างอดทนอดกลั้นต่อผลประโยชน์ของแต่ละชนชั้นทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว[117][118][119]
มีแชล ฟูโก (Michel Foucault) มีมุมมองต่อทฤษฎีการเมืองสมัยใหม่ว่าถูกเน้นไปที่ศูนย์กลางทางอำนาจของรัฐมากเกินไป กล่าวคือฟูโกเชื่อว่าทฤษฎีการเมืองมุ่งเน้นความสนใจไปที่สถาบันทางการเมืองซึ่งมีความเป็นเป็นนามธรรมมากเกินไปและไม่เพียงพอต่อทฤษฎีเชิงปฏิบัติของฝั่งรัฐบาล ดังนั้นในความเห็นของฟูโก "รัฐ" จึงมิใช่สาระสำคัญ เขาเชื่อว่าแทนที่จะพยายามทำความเข้าใจในกิจกรรมของรัฐบาลผ่านการวิเคราะห์คุณสมบัติของความเป็นรัฐ (ในเชิงนามธรรมที่ได้รับการประกอบสร้างขึ้นใหม่) กลับกันนักทฤษฎีการเมืองควรทำหน้าที่ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงในแนวทางภาคปฏิบัติของรัฐบาลเพื่อทำความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงในสภาพธรรมชาติของรัฐเสียจะดีกว่า[120][121][122] ฟูโกได้พัฒนาแนวคิดเรื่องความเป็นรัฐบาลขึ้น โดยคำนึงถึงลำดับวงศ์ตระกูลของรัฐเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพิจารณาหรือทำความเข้าใจในการปกครองที่เป็นปัจเจก ซึ่งสามารถมีอิทธิพลต่อบทบาทและหน้าที่โดยรวมของรัฐได้[123]
ฟูโกได้ให้เหตุผลว่าเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ความเป็นรัฐสามารถเข้าถึงพลเมืองได้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยเสนอว่ารัฐเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสำแดงอำนาจทางเทคโนโลยีหรือระบบอำนาจที่มีหลายหัว ดังนั้นแนวคิดของฟูโกจึงเป็นการให้เหตุผลหรือน้ำหนักแก่จุดมุ่งหมายของความเป็นรัฐ แทนที่จะมีมุมมองต่ออำนาจอธิปไตยว่าเป็นสิ่งที่สมควรจะต้องถูกขจัดไปแบบเดียวกันกับมุมมองแบบลัทธิมากซ์หรือแบบอนาธิปไตย เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ได้ถูกหยิบยืมนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการออกแบบนโยบายของรัฐ ส่งผลให้ฟูโกมีมุมมองต่อการเกิดขึ้นของสาขาวิชาอย่างวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และสถิติทางคณิตศาสตร์ว่าสามารถทำให้เรามีความเข้าใจต่อกลไกทางเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อเป้าหมายหรือความสำเร็จของรัฐนั้น ๆ ได้อย่างไร ที่สำคัญฟูโกก็ยังย้ำให้เห็นว่าการเกิดขึ้นของรัฐชาติสมัยใหม่มิใช่อุบัติเหตุทางประวัติศาสตร์แต่เป็นผลผลิตโดยเจตนา ซึ่งรัฐสมัยใหม่จะต้องเสนอตัวเข้ามารับผิดชอบหรือจัดการ เช่นการเกิดขึ้นของระบอบตำรวจ (ส่วนหนึ่งของความมั่งคั่งของรัฐ) การอนุญาตให้พลเมืองเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ ระบอบกฎหมายชนต่างชาติ (jus gentium) จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของ ความเป็นประชาสังคม (civitas) หลังจากที่ถูกแบ่งแยกออกจากสังคมมนุษย์อย่างจงใจมาเป็นเวลานานนับหลายพันปี[124] ดังนั้นแล้วประชาธิปไตยในมุมมองของฟูโกจึงมิได้เป็นแค่การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่ถูกจัดขึ้นอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าดังที่นักปฏิวัติทางการเมืองหรือนักปรัชญาการเมืองมักมีภาพในหัวว่าเป็นแค่การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพทางการเมืองหรือแสวงหาการยอมรับจาก 'ชนชั้นปกครอง' แต่อย่างใด ฟูโกยืนยันว่าทฤษดีดังกล่าวเป็นผลสำเร็จจากความพยายามในการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การถ่ายโอนอำนาจการปกครอง เสถียรภาพทางอํานาจ และการออกจากกรอบแนวคิดของศาสนจักร ทั้งหมดนี้นำไปสู่ความชอบธรรมทางการเมืองที่ได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วนของสังคม กล่าวคือพลเมืองทุกคนมีสิทธิ์ที่จะตื่นรู้และตระหนักถึงสิทธิทางการเมืองของตนได้ ตัวอย่างเช่น 'สิทธิในการเลือกตั้ง' ซึ่งเป็นการเลือกผู้แทนของตนให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นประมุขทางการเมืองของรัฐที่มีคุณสมบัติเป็นรัฐประชาธิปไตย ฟูโกมองว่าระบอบดังกล่าวเป็นรูปแบบของชีวอำนาจแบบใหม่[125][126] และเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางการเมืองสมัยใหม่ ฟูโกเรียกระบอบดังกล่าวว่า "ระบอบชีวการเมือง"
นิโกส ปูลันจัส (Nicos Poulantzas) เป็นนักทฤษฎีนีโอมากซ์ชาวกรีกคนสำคัญ แนวคิดส่วนใหญ่ของเขาได้รับอิทธิพลมาจากงานเขียนของกรัมชี ปูลันจัสเสนอว่า 'รัฐทุนนิยม' มิได้กระทำการเพียงแค่ในนามของชนชั้นปกครองแต่เพียงกลุ่มเดียว และเมื่อเป็นเช่นนั้นจริงก็มิจำเป็นที่จะต้องกระทำอยู่อย่างนั้นเสมอไป เนื่องจากการกระทำดังกล่าวจะต้องได้รับการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนจากเจ้าพนักงานของรัฐ แต่ก็ด้วยลักษณะ 'เชิงโครงสร้าง' อีกเช่นกันที่ได้กำหนดให้โครงสร้างของรัฐจะต้องได้รับการพิทักษ์เพื่อให้แน่ใจว่าผลประโยชน์ระยะยาวของทุนจะมีความสำคัญเหนือกว่าสิ่งอื่นใดอยู่อย่างเสมอ แนวคิดหลักของปูลันจัสสนับสนุนต่องานเขียนสายลัทธิมากซ์เกี่ยวกับแนวคิดที่ว่าด้วย "การปกครองตนเองเชิงสัมพัทธ์" โดยรัฐ ขณะที่งานเขียนของเขามักจะเกี่ยวข้องกับ 'การปกครองตนเองโดยรัฐ' ดังนั้นผลงานของปูลันจัสจึงมีความสำคัญในแง่ของการทำให้งานเขียนสายลัทธิมากซ์มีความเด่นชัดมากขึ้นและเป็นการขยายขอบเขตของงานประพันธ์ที่ว่าด้วยรัฐในมุมมองแบบมาร์กซิสต์ให้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันงานเขียนของเขาก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกันว่ายึดติดกับกรอบของ 'กลไกเชิงโครงสร้างนิยม' มากเกินไป
จักรวาลวิทยาเชิงโครงสร้างโดยรัฐหรือสัจนิยมเชิงโครงสร้างโดยรัฐ
แก้ทฤษฎีนี้ยึดถือว่าเป็นจักรวาลมีโครงสร้างเพียงแค่รูปแบบเดียว ความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ที่ก่อตัวขึ้นในสังคมมีลักษณะเฉพาะก็ด้วยสิทธิที่ได้รับการจัดสรรอย่างมีรูปแบบหรือได้รับการตกผลึกผ่านอำนาจตามลำดับชั้นและความชอบธรรมทางกฎหมายอย่างมีแบบแผน โดยมีการแบ่งชนชั้นทางสังคมและเศรษฐกิจที่ถูกกำหนดไว้อย่างดี รวมถึงยังมีองค์กรทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีพลวัตและแม่นยำประกอบกับองค์การทางศาสนาใดศาสนาหนึ่ง (หรือหลายองค์กร) ที่อ้างถึงความชอบธรรมในอำนาจและมีสิทธิในการเผยแพร่หรือแสดงออกสู่สังคมก็เพื่อสนับสนุนความเชื่อทางศาสนาของแต่ละบุคคลและเพื่อการได้รับการยอมรับจากมหาชน รูปแบบของจักรวาลวิทยาเชิงโครงสร้างได้วิวัฒนาการไปในลักษณะที่เป็นวัฏจักร โดยนำเสนอสองช่วงประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน ได้แก่ ระยะการค้าขาย หรือ "สังคมเปิด" และ ระยะศักดินา หรือ "สังคมปิด" ลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันอย่างมากรูปแบบแบบนี้เองที่ช่วยแยกความแตกต่างเชิงอารยธรรมของมนุษย์ออกจากกันได้เป็นสองระดับ ซึ่งไม่เคยมีจุดสิ้นสุดแต่สลับเปลี่ยนกันไปมาเป็นวัฏจักร ลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันในแต่ละระดับของทั้งสองระยะนี้ถือว่าเป็นความก้าวหน้า (ในลักษณะที่จะต้องฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเป็นอิสระ โดยปราศจากคุณค่าที่แท้จริงของความเป็นอยู่ที่ดี ระดับของเสรีภาพและความเท่าเทียมที่พึงได้รับและตระหนักได้ รวมถึงความเป็นไปได้อย่างเป็นรูปธรรมในการบรรลุไปสู่ความก้าวหน้าในระดับอารยธรรม) แม้ว่าจะมาจากกลุ่มที่มีการศึกษาและความพร้อมทางสติปัญญามากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ในสังคมของทั้งสองช่วงประวัติศาสตร์ก็ตาม[127]
รัฐปกครองตนเองกับแนวคิดสถาบันนิยมใหม่
แก้นักทฤษฎีรัฐปกครองตนเองเชื่อว่า "รัฐ" เป็นองค์กรที่ปฏิเสธอิทธิพลทางสังคมและเศรษฐกิจจากโลกภายนอกและมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ต่อตนเองแต่เพียงเท่านั้น[128]
งานเขียนเกี่ยวกับแนวคิดสถาบันนิยมใหม่ เช่น ผลงานของ ธีดา สก็อชโพล (Theda Skocpol) ได้ระบุเอาไว้ว่าตัวแสดงของรัฐมีความเป็นอิสระในการดำเนินกิจการและบทบาทของรัฐอย่างมาก กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ บุคลากรของรัฐต่างก็มีผลประโยชน์เป็นของตนเอง และสามารถที่จะดำเนินกิจการใด ๆ ก็ตามได้อย่างอิสระ โดยปราศจากอิทธิพลของผู้มีบทบาทในสังคม (บ้างก็ย้อนแย้งกัน) เนื่องจากรัฐมีศักยภาพมากพอในการควบคุมผ่านวิธีการบังคับขู่เข็ญ และเมื่อกลุ่มองค์กรหลายกลุ่มในภาคประชาสังคมจำเป็นที่จะต้องพึ่งพารัฐในการบรรลุเป้าหมายใด ๆ ที่พวกเขาไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง บุคลากรของรัฐนั้นจึงจะสามารถกำหนดความพึงพอใจทั้งต่อตนเองและต่อภาคประชาสังคมได้ไม่มากก็น้อยในระดับหนึ่ง
ทฤษฎีว่าด้วยความชอบธรรมของรัฐ
แก้โดยปกติแล้วรัฐต่าง ๆ มักอ้างสิทธิ์ต่อความชอบธรรมทางการเมืองเพื่อรักษาสิทธิ์ในการใช้อำนาจเหนือพลเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของตนทั้งสิ้น[129][130][131]
ทฤษฎีสัญญาประชาคม
แก้มีผู้ที่เสนอทฤษฎีสัญญาประชาคมไว้หลากหลายรูปแบบ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่รัฐและก็เพื่ออธิบายถึงกระบวนการก่อเกิดขึ้นของรัฐ ทัศนะหลักของทฤษฎีนี้ คือ "สภาพธรรมชาติ" ที่กระตุ้นให้ผู้คนแสวงหาถึงกระบวนการเกิดขึ้นของรัฐ นักปรัชญาชาวอังกฤษนามว่า ทอมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ได้อธิบายถึงลักษณะโดยรวมของสภาพธรรมชาติว่ามีความ "โดดเดี่ยว, แร้นแค้น, โสโครก, ป่าเถื่อน และเห็นแก่ตัว" (เลอไวอะธัน; บทที่ 13–14)[132] แต่กลับกัน จอห์น ล็อก มีมุมมองต่อสภาพธรรมชาติในเชิงบวกมากกว่า และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อแนวคิดในเรื่องของการเสื่อมถอยของสภาพธรรมชาติ แม้จะยอมรับว่าโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์นั้นมิอาจที่จะมีคุณภาพชีวิตที่เท่าเทียมกันได้ แต่ตัวล็อกเองก็ได้หยิบยกประเด็นในเรื่องของ "สิทธิมนุษยชน" ที่มิอาจแบ่งแยกออกจากสังคมมนุษย์มาโต้แย้งได้อีกเช่นกัน สิทธิที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งในมุมมองของล็อก คือ "สิทธิในทรัพย์สิน" โดยล็อกได้ให้ให้เหตุผลว่าสิทธิในทรัพย์สินเป็นสิทธิหลักที่ยังมิได้รับการคุ้มครองอย่างเพียงพอในสภาพธรรมชาติ นักทฤษฎีสัญญาประชาคมมักอ้างถึงสิทธิธรรมชาติอยู่เสมอก็เพื่อสนับสนุนและรักษาความชอบธรรมให้กับทฤษฎีเหล่านี้ กล่าวคือพลเมืองทุกคนจำต้องยอมสละสิทธิบางอย่างเพื่อให้รัฐสามารถสถาปนาอำนาจการปกครองได้[133][134] เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วทฤษฎีสัญญาประชาคมก็จะสามารถวางรากฐานความชอบธรรมให้แก่ตัวรัฐบาลเอง โดยที่ความชอบธรรมนั้นจะมั่นคงและถาวรได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความยินยอมจากผู้ถูกปกครอง การให้เหตุผลในลักษณะนี้ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในคำประกาศอิสรภาพสหรัฐ เมื่อ ค.ศ. 1776
ทฤษฎีเทวสิทธิราชย์
แก้การเกิดขึ้นของระบบรัฐชาติสมัยใหม่มีอิทธิพลที่สำคัญอย่างมากต่อกระบวนการเปลี่ยนแปลงความคิดทางการเมือง โดยเฉพาะความเข้าใจในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางอำนาจและการปกครองอันชอบด้วยกฎหมายโดยรัฐ ผู้ที่สมาทานต่อระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในยุคสมัยใหม่ตอนต้น ได้แก่ ทอมัส ฮอบส์ และ ฌ็อง โบแดง (Jean Bodin) ทั้งสองเป็นบุคคลสำคัญที่สนับสนุนทฤษฎีเทวสิทธิราชย์ด้วยการชี้ให้เห็นว่าการได้มาซึ่งอำนาจและความชอบธรรมของกษัตริย์ควรได้รับการพิสูจน์โดยประชาชนโดยเฉพาะฮอบส์ที่มีมุมมองต่ออำนาจและความชอบธรรมว่ามิใช่แค่อำนาจระหว่างประชาชนด้วยกันเองแต่เพียงเท่านั้น อำนาจทางการเมืองควรเป็นสิ่งที่มีความชอบธรรมในตัวของมันเองอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอำนาจที่มาจากปัจเจกบุคคล (ระบุเอาไว้ในช่วงสงครามกลางเมืองอังกฤษ) ทั้งฮอบส์และโบแดงต่างก็คิดว่าตนกำลังปกป้องอำนาจของสถาบันกษัตริย์หาใช่การสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด ทว่าแนวคิดเรื่องธรรมชาติของอำนาจอธิปไตยที่พวกเขาเสนอนั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกปฏิเสธอย่างหนักจากสายตาของผู้ที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ที่มีพระราชอำนาจสูงสุดโดยสมบูรณ์อยู่แล้ว เช่น เซอร์ รอเบิร์ต ฟิลเมอร์ (Sir Robert Filmer) ที่มีมุมมองต่อแนวคิดเทวสิทธิราชย์ว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของกษัตริย์เนื่องจากเป็นแนวคิดที่มีสิทธิ์เปิดโอกาสให้นำไปสู่การเรียกร้องประชาธิปไตยได้
สิทธิอำนาจนิติธรรม
แก้ในงานเขียนของ มัคส์ เวเบอร์ ได้ระบุถึงที่มาของสิทธิอำนาจอันนำไปสู่ความชอบธรรมทางการเมืองไว้ทั้งหมด 3 ประการดังนี้:
- ประการแรก: สิทธิอำนาจตามประเพณี (legitimacy based on traditional grounds) – เป็นความชอบธรรมที่เกิดจากชุดความคิดที่ว่าสิ่งต่าง ๆ ควรเป็นไปตามกฎหรือธรรมเนียมปฏิบัติอย่างที่เคยเป็นมาตั้งแต่อดีต อีกทั้งผู้ที่ใช้อำนาจปกครองภายใต้อำนาจเหล่านี้เองก็มีสิทธิในการเรียกร้องอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายอีกเช่นกัน
- ประการที่สอง: สิทธิอำนาจบารมี (legitimacy based on charismatic) – การอุทิศตนให้กับผู้นำหรือกลุ่มบุคคลที่มีภาพลักษณ์ว่าเป็นบุคคลสำคัญหรือมีคุณธรรมอย่างยิ่ง โดยอำนาจรูปแบบดังกล่าวจะเกิดขึ้นผ่านความเชื่อมั่นศรัทธาหลังจากที่อำนาจตามประเพณีหรืออำนาจนิติธรรมเสื่อมความนิยมลงแต่เพียงเท่านั้น
- ประการที่สาม: สิทธิอำนาจนิติธรรม (rational-legal authority) – มีที่มาจากความเชื่อที่ว่ากลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่มได้รับอำนาจในลักษณะที่ถูกต้องตามกฎหมายและสมเหตุสมผลตามประมวลกฎหมายลายลักษณ์อักษรเฉพาะ เวเบอร์เชื่อว่ารัฐสมัยใหม่มีลักษณะเฉพาะคือสิทธิ์ในการยื่นอุทธรณ์ต่อผู้มีอำนาจทางกฎหมายที่มีเหตุและผลในการปกครอง[135][136][137]
ความล้มเหลวของรัฐ
แก้รัฐบางรัฐถูกระบุว่าเป็น "รัฐบอบบาง" หรือ "รัฐล้มเหลว" เดวิด ซามูเอลส์ (David Samuels) ได้ระบุเอาไว้ว่า "ความล้มเหลวของรัฐจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่ออำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนที่อ้างสิทธิ์ทั้งหลายได้พังทลายลงหรือมิสามารถบริหารปกครองได้อย่างมีประสิทธิภาพ"[138] นักรัฐศาสตร์หลาย ๆ คน ทั้งซามูเอลส์ และ โจ เอส. มิกแดล (Joel S. Migdal) ได้สำรวจและจัดแบ่งเงื่อนไขในการเกิดขึ้นของรัฐล้มเหลวเหล่านี้ว่ามีความแตกต่างจากรัฐในโลกตะวันตกที่มี "เสถียรภาพ" มากกว่าอย่างไร และสถานภาพของการเป็นประเทศกำลังพัฒนามีผลอย่างไรต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศดังกล่าว
ซามูเอลส์ ได้แนะนำแนวคิดเกี่ยวกับศักยภาพของรัฐเพื่อใช้อ้างอิงถึงขอบเขตความสามารถในการบรรลุบทบาทขั้นพื้นฐานของรัฐ เช่น การรักษาความปลอดภัย การบังคับใช้กฎหมาย การรักษาความสงบเรียบร้อย และการให้บริการสาธารณะ หากไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้รัฐเหล่านั้นก็จะถือว่าเป็นรัฐล้มเหลว หรือแม้แต่ เจฟฟรีย์ เฮิบสต์ (Jeffrey Herbst) ที่ได้เสริมแนวคิดนี้ โดยระบุไว้ว่า "ความล้มเหลวของรัฐเป็นผลมาจากการที่สถาบันเหล่านั้นมีความอ่อนแอหรือไม่มีอำนาจโดยแท้จริง ซึ่งหมายความว่ารัฐเหล่านั้นปราศจากความชอบธรรมในการปกครอง เนื่องด้วยรัฐเหล่านั้นมิสามารถบริหาร ปกครอง หรือรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยภายในสังคมได้" อย่างไรก็ดี สตีเฟน ดี. แครสเนอร์ (Stephen D. Krasner) ก็ได้ให้ความเห็นไว้อีกว่า "ความล้มเหลวของรัฐหาใช่ผลลัพธ์ของสถาบันที่อ่อนแอเพียงอย่างเดียว แต่การเกิดขึ้นของรัฐล้มเหลวนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่มีความซับซ้อนแตกต่างกันไปแล้วแต่ตามแต่ละบริบทและสภาวะการณ์ของแต่ละพื้นที่ ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ควรวิเคราะห์ถึงการเกิดขึ้นของรัฐล้มเหลวผ่านบริบทและความเข้าใจที่เรียบง่ายหรือตื้นเขินเกินไป"
ปัญหาของรัฐล้มเหลว
แก้ความล้มเหลวของรัฐเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของการเมืองโลก เนื่องจากรัฐล้มเหลวมีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การก่อการร้ายและความขัดแย้งภายในสังคม นอกจากนี้ความล้มเหลวของรัฐยังเป็นอุปสรรคต่อวิถีของประชาธิปไตย เนื่องจากรัฐเหล่านั้นมักประสบกับความรุนแรงทางการเมืองอย่างการปกครองแบบเผด็จการและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในหลาย ๆ ครั้ง แม้ว่าจะมีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบโดยตรงต่อความล้มเหลวโดยรัฐ แต่ผลกระทบทางอ้อมก็ควรได้รับการเน้นย้ำอีกเช่นกัน ความล้มเหลวโดยรัฐอาจนำไปสู่การหลั่งไหลของผู้ลี้ภัยและความขัดแย้งข้ามพรมแดน ขณะเดียวกันก็กลายเป็นแหล่งหลบภัยสำหรับกลุ่มอาชญากรหรือกลุ่มหัวรุนแรงอีกด้วย เพื่อที่จะแก้ไขและป้องกันปัญหาเหล่านี้ในอนาคตรัฐจึงต้องมุ่งเน้นไปที่การสร้างสถาบันที่มีความเข้มแข็ง เช่น การส่งเสริมความหลากหลาย การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และการแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงภายในรัฐ
การเกิดขึ้นของรัฐในสมัยแรก
แก้เพื่อให้เข้าใจถึงการเกิดขึ้นของรัฐที่ล้มเหลว เดวิด ซามูเอลส์ ได้ทำการการเปรียบเทียบปัจจัยในการเกิดขึ้นของรัฐชาติที่ตั้งอยู่ในยุโรปช่วงคริสตทศวรรษที่ 1600 กับคริสตศตวรรษที่ 20 โดยระบุเอาไว้ว่า "รัฐบาลจะต้องอนุญาตให้พลเมืองของตนมีสิทธิ์หรือส่วนร่วมในการดำเนินการแก้ไขปัญหาของชาติ ขณะที่ประชาชนก็ต้องยินยอมต่อการใช้อำนาจที่มีสิทธิ์บังคับใช้เหนือตน การจัดระเบียบทางสังคมประเภทนี้จำเป็นต้องลดความชอบธรรมของการปกครองรูปแบบดั้งเดิมลง (เช่น หน่วยงานทางศาสนา) และแทนที่ด้วยการสร้างความชอบธรรมผ่านการปกครอง โดยปราศจากการยึดโยงต่อตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง การที่รัฐบาลกลางมีอำนาจอธิปไตยที่เพิ่มมากขึ้นนี้เองก็จะส่งผลให้องค์กรอย่างระบบราชการมีความซับซ้อนมากขึ้นตามมา"
การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นรัฐสมัยใหม่ในภูมิภาคยุโรปเกิดขึ้นเมื่อราว ๆ ค.ศ. 1600 ประจวบกับปัจจัยต่าง ๆ เช่น พัฒนาการของเทคโนโลยีอาวุธสงครามที่เป็นส่วนสำคัญในการเร่งปฏิกิริยาให้รัฐชาติสมัยใหม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษีหรือการรวมอำนาจรัฐเข้าสู่ศูนย์กลาง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้รัฐมีประสิทธิภาพในการคุ้มครองตนเองจากภัยคุกคามอื่น ๆ นอกจากนี้พัฒนาการทางด้านผลผลิตทางการเกษตร (อันเป็นผลมาจากการปรับปรุงคุณภาพการผลิต) ทำให้ระบบสาธารณสุขมีประสิทธิภาพที่มากขึ้น ส่งผลให้สามารถรักษาคุณภาพชีวิตของพลเมืองได้มากขึ้นตามมา การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมดังกล่าวส่งผลให้อำนาจรัฐมิได้ขึ้นตรงหรือยึดโยงอยู่กับระบอบเก่า ดังเช่น "สถาบันกษัตริย์" อีกต่อไป และทั้งหมดนี้ก็ได้ปูทางไปสู่การเกิดขึ้นของรัฐชาติสมัยใหม่ในท้ายที่สุด[139]
การเกิดขึ้นของรัฐในยุคร่วมสมัย
แก้ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดขึ้นของรัฐชาติสมัยใหม่ในสมัยปัจจุบันนั้นมีความต่างไปจากปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดขึ้นของรัฐชาติที่ตั้งอยู่ในยุโรป หลาย ๆ ประเทศในสมัยปัจจุบันขาดประสิทธิภาพในการจัดเก็บและใช้ประโยชน์จากภาษีของประชาชน ปัญหาที่เกิดขึ้น ก็เช่น การทุจริต การหลีกเลี่ยงภาษี และความเติบโตทางเศรษฐกิจที่เชื่องช้า เป็นต้น ปัญหาทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ไม่ปรากฎให้เห็นในภูมิภาคยุโรป การเกิดขึ้นของรัฐชาติสมัยใหม่ในสมัยปัจจุบันโดยมากล้วนแต่เกิดขึ้นผ่านบริบทของความขัดแย้งระหว่างประเทศที่มีขอบเขตชัดเจน ส่งผลให้รัฐเหล่านี้มีแรงจูงใจในการจัดเก็บภาษีที่ต่ำและหันไปนิยมใช้จ่ายทางการทหารเสียมากกว่า อีกปัจจัยหนึ่งคือรัฐเหล่านี้ล้วนเป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจาก "ลัทธิอาณานิคม" ส่งผลให้รัฐเหล่านี้กลายเป็นสถาบันที่ถูกออกแบบโครงสร้างมาเพื่อให้เจ้าอาณานิคมแสวงหาผลประโยชน์จนนำไปสู่สถานะประเทศยากจน ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดความยุ่งยากในการสร้างชาติตามมา นอกจากนี้การล่าอาณานิคมของมหาอำนาจในยุโรปยังเป็นการกำหนดเส้นเขตแดนระหว่างประเทศตามอำเภอใจทั้งที่ในแต่ละพื้นที่หรือแต่ละเขตแดนต่างก็มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอัตลักษณ์ วัฒนธรรม หรือความเชื่อที่แตกต่างกันออกไปแต่กลับต้องมาอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน เมื่อมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นจึงส่งผลให้เกิดอุปสรรคต่อการสร้างความพึงพอใจและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้กับทุกภาคส่วนในสังคม เนื่องจากรัฐบางรัฐเองก็มีความต้องการที่จะช่วงชิงและกำหนดอัตลักษณ์ทางการเมืองให้เป็นไปในแนวทางที่ตนต้องการอีกเช่นกัน[139]
มิกแดลได้นำเสนอประเด็นนี้ผ่านกรอบของเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างเฉียบพลันในประเทศโลกที่สามระหว่างยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญอย่างมากต่อการเกิดขึ้นของรัฐล้มเหลว การขยายตัวของระบบการค้าระหว่างประเทศที่เริ่มต้นขึ้นราว ๆ ค.ศ. 1850 นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในภูมิภาคเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา
การขยายตัวตัวของระบอบการค้าระหว่างประเทศมีวัตถุประสงค์ก็เพื่อเป็นฐานไว้สำหรับผลิตสินค้าเพื่อรองรับกับความต้องการของตลาดในภูมิภาคยุโรป การเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้ประกอบไปด้วย:
- การปฏิรูปกฎหมายกรรมสิทธิ์ที่ดิน: มีวัตถุประสงค์ก็เพื่อบูรณาการที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ให้สัมพันธ์กับตลาดเศรษฐกิจระหว่างประเทศมากขึ้น
- การเพิ่มการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง: ทั้งของเกษตรกรและเจ้าของที่ดินรายย่อย โดยเก็บภาษีเหล่านี้ไว้ในรูปแบบเงินสดแทนที่จะเป็นในรูปแบบเดิม
- การพัฒนาระบบคมนาคมสมัยใหม่: เช่นการคมนาคมทางรถไฟที่ทำให้ใช้เวลาและต้นทุนในการผลิตและส่งออกสินค้าลดลง
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนอกจากจะมีผลต่อโครงสร้างทางสังคมรูปแบบเดิมแล้วยังส่งผลให้สถาบันทางสังคมที่มีอยู่แต่เดิมเสื่อมโทรมลง กลายเป็นการเปิดทางไปสู่การสร้างสถาบันทางสังคมรูปแบบใหม่ ๆ โดยไม่มีเหตุอันใดที่จะทำให้กลุ่มประเทศเหล่านี้ต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชาติ[140] นอกจากนี้การขยายตัวของรูปแบบทางสังคมดังกล่าวยังก่อให้เกิดตรรกะทางการเมืองที่ว่ารัฐจะต้องมี "ผู้นำที่เข้มแข็ง" ในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่มีศักยภาพและความสามารถมากพอที่จะท้าทายอำนาจอธิปไตยของรัฐและพร้อมสร้างผลประโยชน์ให้กับชาติผ่านการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างและสถาบันดังที่กล่าวมาข้างต้น ความเห็นทั้งหมดที่มิกแดลได้นำเสนอมานี้จึงชี้ให้เห็นว่าการกระจายอำนาจผ่านการควบคุมทางโครงสร้างและสถาบันทางสังคมเป็นอุปสรรคที่สำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการที่เข้มแข็งของรัฐ[141]
ดูเพิ่ม
แก้อ้างอิง
แก้เชิงอรรถ
แก้- ↑ คำนิยามที่ 7 (น.): "ประชาชนคือผู้ที่มีสิทธิในการถือครองที่ดินและทรัพย์สินภายในดินแดนหรือประเทศชาติของตน"; คำนิยามที่ 10 (น.): "องค์การเมืองที่จัดขึ้นก็เพื่อสิทธิในการปกครองด้วยอํานาจของพลเรือน (มีความแตกต่างจาก คริสตจักร)"; คำนิยามที่ 16 (น.): "วัตถุหรือสิ่งของใด ๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลกลางหรือหน่วยงานที่มีอำนาจ" -Webster's New Universal Unabridged Dictionary, Random House/Barnes and Noble, ISBN 9780760702888, pp. 1860-1861.
- ↑ Black's Law Dictionary, ฉบับแก้ไขปรับปรุงครั้งที่สี่. (1968). West Publishing Co.
- ↑ Uricich v. Kolesar, 54 Ohio App. 309, 7 N.E. 2d 413.
- ↑ แซนเดอฟอร์ด, เดวิด เอส. (พฤษภาคม 2018). "Organizational complexity and demographic scale in primary states". Royal Society Open Science. 5 (5): 171137. Bibcode:2018RSOS....571137S. doi:10.1098/rsos.171137. PMC 5990841. PMID 29892345.
- ↑ วิมเมอร์, แอนเดรียส; ไฟน์สไตน์, ยูวัล (ตุลาคม 2010). "The Rise of the Nation-State across the World, 1816 to 2001". American Sociological Review. 75 (5): 764–790. doi:10.1177/0003122410382639. S2CID 10075481.
ผลลัพธ์ระดับโลกนี้—การยอมรับของรูปแบบรัฐชาติที่เกือบจะเป็นสากล
- ↑ 6.0 6.1 คัดเวิร์ธ et al., 2007: p. 1
- ↑ 7.0 7.1 แบร์โรว์, 1993: pp. 9–10
- ↑ 8.0 8.1 คัดเวิร์ธ et al., 2007: p. 95
- ↑ 9.0 9.1 แซลมอน, 2008: p. 54 เก็บถาวร 15 พฤษภาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ "Stateless Society | Encyclopedia.com". www.encyclopedia.com.
- ↑ Black's Law Dictionary, ฉบับแก้ไขปรับปรุงครั้งที่สี่ (1968). West Publishing Co.
- ↑ Uricich v. Kolesar, 54 Ohio App. 309, 7 N.E. 2d 413.
- ↑ แพทริก, สจวร์ต (10 ธันวาคม 2007). "'Failed' States and Global Security: Empirical Questions and Policy Dilemmas". International Studies Review. 9 (4): 644–662. doi:10.1111/j.1468-2486.2007.00728.x.
- ↑ "raṭṭha", วิกิพจนานุกรม, สารานุกรมเสรี (ภาษาอังกฤษ), 2023-04-25, สืบค้นเมื่อ 2024-03-13
- ↑ "राष्ट्र", วิกิพจนานุกรม, สารานุกรมเสรี (ภาษาอังกฤษ), 2024-02-09, สืบค้นเมื่อ 2024-03-13
- ↑ สกินเนอร์, 1989: p.134
- ↑ บ็อบบิโอ, 1989: pp.57–58 "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-04-30. สืบค้นเมื่อ 2023-10-21.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ เซ. เด. แอร์ฮาร์ท, Betrachtungen über Leopolds des Weisen Gesetzgebung in Toscana, Richter, 1791, p. 30 เก็บถาวร 19 มกราคม 2018 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. ได้รับการยอมรับว่าเป็นหลักฐานชั้นต้นในศตวรรษที่ 19 โดย ฌ็อง เอเตียง ฟร็องซัว มาริญี ว่า พระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดมิได้: Le roi ne peut jamais avoit tort, le roi ne peut mal faire, Le Normant, 1818 p. 12 เก็บถาวร 19 มกราคม 2018 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน.
- ↑ ไชเดิล, วอลเตอร์ (2013). "Studying the State". The Oxford Handbook of the State in the Ancient Near East and Mediterranean. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด. pp. 5–58. doi:10.1093/oxfordhb/9780195188318.013.0002. ISBN 978-0195188318.
- ↑ ดูว์บรอยล์, เบอนัว (2010). Human Evolution and the Origins of Hierarchies: The State of Nature. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์. p. 189. ISBN 978-0-521-76948-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 พฤษภาคม 2016.
- ↑ กอร์ดอน, สก็อตต์ (2002). Controlling the State: Constitutionalism from Ancient Athens to Today. สำนักพิมพ์มหาวิทลัยฮาร์วาร์ด. p. 4. ISBN 978-0-674-00977-6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 พฤษภาคม 2016.
- ↑ เฮย์, โคลิน (2001). Routledge Encyclopedia of International Political Economy. นิวยอร์ก: Routledge. pp. 1469–1474. ISBN 0-415-14532-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 พฤษภาคม 2016.
- ↑ โดโนแวน, จอห์น ซี. (1993). ประชาชน อำนาจ และการเมือง: ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรัฐศาสตร์. โรว์มัน & ลิทเทิลฟีลด์. p. 20. ISBN 978-0-8226-3025-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 พฤษภาคม 2016.
- ↑ ชอว์, มาร์ติน (2003). War and genocide: organized killing in modern society. ไวลีย์-แบล็กเวลล์. p. 59. ISBN 978-0-7456-1907-1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 มิถุนายน 2016.
- ↑ เวเบอร์, มัคส์ (1991). From Max Weber: Essays in Sociology (ภาษาอังกฤษ). Psychology Press. p. 78. ISBN 978-0-415-06056-1.
- ↑ สุภาพ, จรูญ (2537). "หลักรัฐศาสตร์ ฉบับพื้นฐาน". search-library.parliament.go.th (3rd ed.). สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช จำกัด. p. 15.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ เฮิบส์, เจฟฟรีย์ (1990). "สงครามและรัฐในแอฟริกา". International Security. 14 (4): 117–139. doi:10.2307/2538753. JSTOR 2538753. S2CID 153804691.
- ↑ นอยเบอร์เกอร์, เบนยามิน (1977). "รัฐและชาติในความคิดของชาวแอฟริกัน". Journal of African Studies. 4 (2): 199–205. OCLC 772703025. ProQuest 1303256827.
- ↑ Arguments for Liberty [ต้องการเลขหน้า]
- ↑ "โครงการกูเทินแบร์ค e-book เลอไวอะธัน, โดย ทอมัส ฮอบส์".
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ คลาร์ก, วิลเลียม รอเบิตส์; โกลเดอร์, แม็ตต์; โกลเดอร์, โซนา นาเดนิเช็ก (2018). รากฐานของการเมืองเปรียบเทียบ. CQ Press. ISBN 978-1-5063-6074-4.[ต้องการเลขหน้า]
- ↑ อนันทนาธร, กษิดิศ (2563). "ปรีดีบรรณานุสรณ์ ๒๕๖๓: มรดกของปรีดี พนมยงค์". pr.tu.ac.th/pridi/pridi63 (1st ed.).โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. p.214
- ↑ ทิลลี, ชาลส์ (1992). Coercion, Capital, and European States, AD 990-1992. แบล็กเวลล์. pp. 1–2. ISBN 978-1-55786-067-5. OCLC 1148616089.
- ↑ ทิลลี, ชาลส์ (1992). Coercion, Capital, and European States, AD 990-1992. แบล็กเวลล์. pp. 96–97. ISBN 978-1-55786-067-5. OCLC 1148616089.
- ↑ ทิลลี, ชาลส์ (1985). "War Making and State Making as Organized Crime". Bringing the State Back in. pp. 169–191. doi:10.1017/cbo9780511628283.008. hdl:2027.42/51028. ISBN 978-0-521-30786-4. S2CID 153680512.
- ↑ ทิลลี, ชาลส์ (1992). Coercion, Capital, and European States, AD 990-1992. แบล็กเวลล์. ISBN 978-1-55786-067-5. OCLC 1148616089.[ต้องการเลขหน้า]
- ↑ สแตรง, เดวิด (1991). "Anomaly and commonplace in European political expansion: realist and institutional accounts". องค์การระหว่างประเทศ. 45 (2): 143–162. doi:10.1017/S002081830003304X. S2CID 154734299.
- ↑ สมิธ, อดัม (1776). การสอบสวนธรรมชาติและสาเหตุแห่งความมั่งคั่งของประชาชาติ.[ต้องการเลขหน้า]
- ↑ ทิลลี, ชาลส์ (1985). "การสร้างสงครามและการสร้างรัฐในฐานะองค์กรอาชญากรรม". การนำรัฐกลับเข้ามา. pp. 169–191. doi:10.1017/cbo9780511628283.008. hdl:2027.42/51028. ISBN 978-0-521-30786-4. S2CID 153680512.
- ↑ โฮลคอมบ์, แรนดัลล์ จี. (2004). "Government: Unnecessary but Inevitable". The Independent Review. 8 (3): 325–342. JSTOR 24562462. แม่แบบ:Gale.
- ↑ โนซิก, รอเบิร์ต (1974). อนาธิปไตย รัฐ และยูโทเปีย. อ็อกซ์ฟอร์ด: แบล็กเวลล์. ISBN 063119780X.[ต้องการเลขหน้า]
- ↑ รอบินสัน, เอ็ดเวิร์ด ฮีธ (สิงหาคม 2013). "The Distinction Between State and Government: The Distinction Between State and Government". Geography Compass. 7 (8): 556–566. doi:10.1111/gec3.12065.
- ↑ ครอว์เฟิร์ด, เจ. (2007) The Creation of States in International Law. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด.[ต้องการเลขหน้า]
- ↑ บีลีย์, แฟรงก์, บ.ก. (1999). "government". The Blackwell dictionary of political science: a user's guide to its terms. ไวลีย์-แบล็กเวลล์. p. 147. ISBN 978-0-631-20695-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 พฤษภาคม 2016.
- ↑ ซาร์ตเวลล์, 2008: p. 25 เก็บถาวร 23 มิถุนายน 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ 46.0 46.1 Flint & Taylor, 2007: p. 137
- ↑ รอบินสัน, อี.เอ็ช. 2013. The Distinction Between State and Government. เก็บถาวร 2 พฤศจิกายน 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน The Geography Compass 7(8): pp. 556–566.
- ↑ หัวข้อแรกใน Montevideo Convention.
- ↑ หัวข้อที่สองใน Montevideo Convention.
- ↑ แมนน์, ไมเคิล (1992) [1988]. States, War and Capitalism: Studies in Political Sociology (ภาษาอังกฤษ). แบล็กเวลล์. pp. 14–15. ISBN 978-0-631-18509-3.
- ↑ โคโลเมอร์, โจเซฟ เอ็ม. (2017). "Empires Versus States". Oxford Research Encyclopedia of Politics (ภาษาอังกฤษ). doi:10.1093/acrefore/9780190228637.013.608. ISBN 978-0-19-022863-7.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ เฮกเตอร์, ไมเคิล; บริวสไตน์, วิลเลียม (1980). "Regional Modes of Production and Patterns of State Formation in Western Europe". American Journal of Sociology. 85 (5): 1061–1094. doi:10.1086/227125. JSTOR 2778891. S2CID 143853058.
- ↑ มาเร็ก, คริสตินา (1954). Identity and Continuity of States in Public International Law. Library Droz. p. 178. ISBN 978-2-600-04044-0.
มีแนวคิดว่าจำเป็นต้องอ้างอิงจากรายงานของ Lytton เนื่องจากอาจเป็นคำนิยามที่สมบูรณ์ที่สุดและครบถ้วนที่สุดเกี่ยวกับสิ่งเป็นอิสระ 'ตามหลักความเป็นจริง' ที่สมเหตุสมผล เช่นนิยามของคำว่า รัฐหุ่นเชิด
- ↑ ธอมป์สัน, เดลลา, บ.ก. (1995). "state". Concise Oxford English Dictionary (9th ed.). สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด.
3 (รวมถึง รัฐ ด้วย) ก. ชุมชนการเมืองที่จัดตั้งขึ้นภายใต้รัฐบาลเดียว เครือจักรภพ; ประเทศชาติ ข. ชุมชนดังกล่าวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธ์สาธารณรัฐ ตัวอย่างก็เช่น สหรัฐอเมริกา เป็นต้น
- ↑ ลองเกอริช, ปีเตอร์ (2010). Holocaust: The Nazi Persecution and Murder of the Jews. อ็อกซ์ฟอร์ด; นิวยอร์ก: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด. ISBN 978-0-19-280436-5.
- ↑ เอเธนส์, คาร์เธจ, กรุงโรม, นอฟโกรอด, ปึสคอฟ, ฮัมบวร์ค, เบรเมิน, แฟรงก์เฟิร์ต, ลือเบ็ค, ฟลอเรนซ์, ปิซา, เจโนวา, เวนิส, ดันท์ซิช, ฟิยูเม, ดูบรอฟนิก.
- ↑ ตัวอย่างเช่น: พาสเตอร์, แจ็ก (1997). "3: The Early Hellenistic Period". Land and Economy in Ancient Palestine. ลอนดอน: Routledge (ตีพิมพ์ 2013). p. 32. ISBN 978-1-134-72264-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 ธันวาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 2017-02-14.
แนวคิดเรื่องกรุงเยรูซาเล็มในฐานะรัฐเทวาธิปไตยมีความคล้ายคลึงกับกลุ่มรัฐโลกวิสัยในเอเชียน้อยและจักรวรรดิซิลูซิด แต่เป็นการเปรียบเทียบที่ไม่เหมาะสมเอาเสียเลย [...] รอสตอฟแซฟฟ์ เรียกแคว้นยูดาห์ว่าเป็นรัฐเทวาธิปไตย แม้ว่าจะมีคำจำกัดความของตัวมันเองที่ทำหน้าที่กำหนดเงื่อนไขของความเป็นเจ้าอาณาเขตและองค์กรของรัฐก็ตาม [...] เฮงเงิลยังอ้างอีกว่าแคว้นยูดาห์เป็นรัฐฆราวาส โดยไม่แยแสต่อหลักฐานที่พึงปรากฎว่าราชวงศ์ปโตเลมีแทบจะไม่สามารถทนทานต่อสถานการณ์เช่นนี้ได้
- ↑ ซาเลสกี, พาเวล (2008). "Tocqueville on Civilian Society: A Romantic Vision of the Dichotomic Structure of Social Reality". Archiv für Begriffsgeschichte. 50: 260–266. doi:10.28937/9783787336746_12. JSTOR 24360940. S2CID 261197955.
- ↑ เอเรนเบิร์ก, จอห์น (1999). "ภาคประชาสังคมกับรัฐ". ภาคประชาสังคม: ประวัติศาสตร์เชิงวิพากษ์ของแนวคิด. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก. p. 109. ISBN 978-0-8147-2207-7.
- ↑ กวิราช, สุทิปตะ (2001). "In search of civil society". ใน กวิราช, สุทิปตะ; ขิลณานิ, สุนิล (บ.ก.). ภาคประชาสังคม: ประวัติศาสตร์และความเป็นไปได้. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์. pp. 291–293. ISBN 978-0-521-00290-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 พฤษภาคม 2016.
- ↑ รีฟ, แอนดรูว์ (2001). "Civil society". ใน โจนส์, อาร์.เจย์. แบร์รี (บ.ก.). Routledge Encyclopedia of International Political Economy: Entries P–Z. เทย์เลอร์ & แฟรนซิส. pp. 158–160. ISBN 978-0-415-24352-0. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 มิถุนายน 2016.
- ↑ แซสซูน, แอนน์ โชว์สแต็ก (2000). Gramsci and contemporary politics: beyond pessimism of the intellect. Psychology Press. p. 70. ISBN 978-0-415-16214-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 พฤษภาคม 2016.
- ↑ เอาเจลลี, เอ็นริโก & เมอร์ฟีย์, เคร็ก เอ็น. (1993). "Gramsci and international relations: a general perspective with examples from recent US policy towards the Third World". ใน จิลล์, สตีเฟน (บ.ก.). Gramsci, historical materialism and international relations. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์. p. 129. ISBN 978-0-521-43523-9. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 พฤษภาคม 2016.
- ↑ เฟอร์เรตเตอร์, ลุค (2006). หลุยส์ อัลตูแซร์. เทย์เลอร์ & แฟรนซิส. p. 85. ISBN 978-0-415-32731-2.
- ↑ ฟลีชา, แรมอน (2009). "The Educative City and Critical Education". ใน Apple, Michael W.; และคณะ (บ.ก.). The Routledge international handbook of critical education. เทย์เลอร์ & แฟรนซิส. p. 330. ISBN 978-0-415-95861-5.
- ↑ มาเลเชวิช, 2002: p. 16 เก็บถาวร 23 กรกฎาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ มอร์โรว์, เรย์มอนด์ อัลเลน & ทอร์เรส, คาร์ลอส อัลเบอร์โต (2002). Reading Freire and Habermas: critical pedagogy and transformative social change. Teacher's College Press. p. 77. ISBN 978-0-8077-4202-0.
- ↑ แคร์, อันเนอ เมทเทอ (2004). ธรรมาภิบาล. ไวลีย์-แบล็กเวลล์. ISBN 978-0-7456-2979-7. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 มิถุนายน 2016. -- [ต้องการเลขหน้า]
- ↑ 69.0 69.1 สก็อตต์, เจมส์ ซี. (2017). Against the Grain: A Deep History of the Earliest States. Yale University Press. doi:10.2307/j.ctv1bvnfk9. ISBN 978-0-300-18291-0. JSTOR j.ctv1bvnfk9. S2CID 158193062.[ต้องการเลขหน้า]
- ↑ คาร์เนย์โร, รอเบิร์ต แอล. (1970). "ทฤษฎีการเกิดขึ้นของรัฐ". Science. 169 (3947): 733–738. Bibcode:1970Sci...169..733C. doi:10.1126/science.169.3947.733. JSTOR 1729765. PMID 17820299. S2CID 11536431.
- ↑ อัลเลน, รอเบิร์ต ซี (เมษายน 1997). "Agriculture and the Origins of the State in Ancient Egypt". Explorations in Economic History. 34 (2): 135–154. doi:10.1006/exeh.1997.0673.
- ↑ บอร์กัน, โออานา; โอลส์สัน, โอลา; พัตเตอร์แมน, หลุยส์ (ตุลาคม 2021). "Transition to agriculture and first state presence: A global analysis" (PDF). Explorations in Economic History. 82: 101404. doi:10.1016/j.eeh.2021.101404.
- ↑ อาห์เม็ด, อาลี ที.; สตาซาเวจ, เดวิด (พฤษภาคม 2020). "ต้นกำเนิดของประชาธิปไตยในยุคแรก". American Political Science Review. 114 (2): 502–518. doi:10.1017/S0003055419000741. S2CID 29671869.
- ↑ เมย์ชาร์, โจรัม; โมอัฟ, โอเมอร์; นีแมน, ซวิกา (สิงหาคม 2017). "ภูมิศาสตร์ ความโปร่งใส และสถาบัน" (PDF). American Political Science Review. 111 (3): 622–636. doi:10.1017/S0003055417000132. S2CID 134526725.
- ↑ บัว, คาลส์ (2015). ความสงบเรียบร้อยทางการเมืองและความไม่เท่าเทียมกัน. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์. ISBN 978-1-107-08943-3.[ต้องการเลขหน้า]
- ↑ สเปนเซอร์, ชาลส์ เอส. (20 เมษายน 2010). "การขยายดินแดนและการก่อตัวของรัฐขั้นปฐมภูมิ". Proceedings of the National Academy of Sciences. 107 (16): 7119–7126. doi:10.1073/pnas.1002470107. PMC 2867764. PMID 20385804.
- ↑ แบ็กก์, สเวอร์ (2019). State Formation in Europe, 843–1789: A Divided World (ภาษาอังกฤษ). Routledge. p. 139. ISBN 978-0-429-58953-9.
- ↑ Ingold, Tim (1999). "On the social relations of the hunter-gatherer band". ใน Lee, Richard B.; Daly, Richard Heywood (บ.ก.). The Cambridge encyclopedia of hunters and gatherers. Cambridge University Press. p. 408. ISBN 978-0-521-57109-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 May 2016.
- ↑ ชอว์, เอียน & เจมสัน, รอเบิร์ต (2002). "Neolithic". A dictionary of archaeology (6th ed.). ไวลีย์-แบล็กเวลล์. p. 423. ISBN 978-0-631-23583-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 เมษายน 2016.
- ↑ ฮัสสัน, เอ็ฟ.เอ. (2007). "The Lie of History: Nation-States and the Contradictions of Complex Societies". ใน คอนสตันซา, รอเบิร์ต; และคณะ (บ.ก.). Sustainability or collapse?: an integrated history and future of people on earth. สำนักพิมพ์สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์. p. 186. ISBN 978-0-262-03366-4. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 พฤษภาคม 2016.
- ↑ สก็อตต์, 2009: p. 29 เก็บถาวร 5 พฤษภาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ แลงเกอร์, อีริก ดี. & สเตินส์, ปีเตอร์ เอ็น. (1994). "ระบบการทำเกษตร". ใน สเตินส์, ปีเตอร์ เอ็น. (บ.ก.). Encyclopedia of social history. เทย์เลอร์ & แฟรนซิส. p. 28. ISBN 978-0-8153-0342-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 มิถุนายน 2016.
- ↑ โคเฮน, รอนัลด์ (1978). "State Origins: A Reappraisal". The Early State. วอลเตอร์ ดี กรุยเตอร์. p. 36. ISBN 978-90-279-7904-9. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 เมษายน 2016.
- ↑ ฟุกุยามะ, แฟรนซิส (2012-03-27). The Origins of Political Order: From Prehuman Times to the French Revolution (ภาษาอังกฤษ). Farrar, Straus and Giroux. p. 70. ISBN 978-0-374-53322-9.
- ↑ ฟุกุยามะ, แฟรนซิส (2012-03-27). The Origins of Political Order: From Prehuman Times to the French Revolution (ภาษาอังกฤษ). Farrar, Straus and Giroux. p. 70. ISBN 978-0-374-53322-9.
- ↑ โรเซอเวลต์, แอนนา ซี. (1999). "The Maritime, Highland, Forest Dynamic and the Origins of Complex Culture". ใน ซาโลมอน, แฟรงก์; ชวาทซ์, สจวร์ต บี. (บ.ก.). Cambridge history of the Native peoples of the Americas: South America, Volume 3. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์. pp. 266–267. ISBN 978-0-521-63075-7. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 มิถุนายน 2016.
- ↑ แมนน์, ไมเคิล (1986). "The emergence of stratification, states, and multi-power-actor civilization in Mesopotamia". The sources of social power: A history of power from the beginning to A. D. 1760, Volume 1. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์. ISBN 978-0-521-31349-0. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 เมษายน 2016.
- ↑ หวัง, หยูหัว (2021). "State-in-Society 2.0: Toward Fourth-Generation Theories of the State". การเมืองเปรียบเทียบ (ภาษาอังกฤษ). 54: 175–198. doi:10.5129/001041521x16184035797221. S2CID 235847848.
- ↑ ย็อฟฟี, นอร์มัน (1988). "Context and Authority in Early Mesopotamian Law". ใน โคเฮน, รอนัลด์; ทอลันด์, จูดิธ ดี. (บ.ก.). การก่อตั้งรัฐและความชอบธรรมทางการเมือง. Transaction Publishers. p. 95. ISBN 978-0-88738-161-4. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 พฤษภาคม 2016.
- ↑ ย็อฟฟี, นอร์มัน (2005). Myths of the archaic state: evolution of the earliest cities, states and civilizations. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์. p. 102. ISBN 978-0-521-81837-7. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 พฤษภาคม 2011.
- ↑ เทอร์ชิน, ปีเตอร์; ไวต์เฮาส์, ฮาร์วีย์; กัฟริเล็ตส์, เซอร์เกย์; โฮเยอร์, แดเนียล; ฟร็องซัว, ปีเยเตอร์; เบ็นเน็ตต์, เจมส์ เอส.; ฟีนีย์, เควิน ซี.; เพเรกริน, ปีเตอร์; ไฟน์แมน, แกรี; โคโรทาเยฟ, อันเดรย์; คราดิน, นิโคไล (2022). "Disentangling the evolutionary drivers of social complexity: A comprehensive test of hypotheses". Science Advances. 8 (25): eabn3517. Bibcode:2022SciA....8N3517T. doi:10.1126/sciadv.abn3517. PMC 9232109. PMID 35749491. S2CID 250022526.
- ↑ เนลสัน, 2006: p. 17 เก็บถาวร 16 พฤษภาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ โจนส์, รีส (2007). People/states/territories: the political geographies of British state transformation. ไวลีย์-แบล็กเวลล์. pp. 52–53. ISBN 978-1-4051-4033-1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 พฤษภาคม 2016. ... see also pp. 54- เก็บถาวร 16 พฤษภาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน โดยที่โจนส์ได้กล่าวถึงปัญหาเกี่ยวกับแนวความคิดทั่วไปเกี่ยวกับระบบฟิวดัล
- ↑ ทิลลี, ชาลส์ (1992). Coercion, Capital, and European States, AD 990-1992. แบล็กเวลล์. p. 44. ISBN 978-1-55786-067-5. OCLC 1148616089.
- ↑ แอบรัมสัน, สก็อตต์ เอฟ. (2017). "The Economic Origins of the Territorial State". International Organization. 71 (1): 97–130. doi:10.1017/S0020818316000308. S2CID 22432480.
- ↑ ลารุส, เอดีซียง. "Définitions : État - Dictionnaire de français Larousse". www.larousse.fr. สืบค้นเมื่อ 17 มีนาคม 2023.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ ทอมัส, จอร์จ เอ็ม.; เมเยอร์, จอห์น ดับบลิว. (สิงหาคม 1984). "การขยายตัวของรัฐ". Annual Review of Sociology. 10 (1): 461–482. doi:10.1146/annurev.so.10.080184.002333.
- ↑ เกอตาชิว, อดัม (2019). การสร้างโลกหลังจักรวรรดิ: ความรุ่งเรืองและการล่มสลายของการตัดสินใจด้วยตนเอง. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน. pp. 73–74. doi:10.2307/j.ctv3znwvg. ISBN 978-0-691-17915-5. JSTOR j.ctv3znwvg.
- ↑ เบอร์แบงก์, เจน; คูเปอร์, เฟรเดอริก (2010). จักรวรรดิในประวัติศาสตร์โลก: อำนาจและการเมืองแห่งความแตกต่าง (ภาษาอังกฤษ). สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน. p. 182. ISBN 978-0-691-12708-8.
- ↑ นิวแมน, ซอล (2010). การเมืองยุคหลังแนวคิดอนาธิปไตย. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเอดินบะระ. p. 109. ISBN 978-0-7486-3495-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 กรกฎาคม 2016.
- ↑ รุสโซปูลอส, ดิมิตรีออส อี. (1973). The political economy of the state: Québec, Canada, U.S.A. Black Rose Books. p. 8. ISBN 978-0-919618-01-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 พฤษภาคม 2016.
- ↑ คริสโตยานโนปูลอส, อเล็กซานเดร (2010). Christian Anarchism: A Political Commentary on the Gospel. Exeter: Imprint Academic. pp. 123–126.
Revelation
- ↑ แอลูล, ฌัก (1988). อนาธิปไตยกับคริสต์ศาสนา. มิชิแกน: Wm. B. Eerdmans. pp. 71–74. ISBN 9780802804952. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2015.
สัตว์ร้ายตัวแรกที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากท้องทะเล... โดยได้รับมอบ 'สิทธิอำนาจและอำนาจทั้งหมดเหนือทุกชนเผ่า ทุกชนชาติ ทุกภาษา และทุกประชาชาติ' (13:7) ทุกคนที่อาศัยอยู่บนโลกก็ต้องเคารพบูชามัน ข้าพเจ้าเชื่อว่าอำนาจทางการเมืองแทบจะอธิบายให้ชัดเจนไปกว่านี้ไม่ได้ เพราะอำนาจนี้เองที่มีอำนาจ ซึ่งควบคุมกองกำลังทหาร และบังคับให้เกิดความเคารพนับถือขึ้น (นั่นคือ การเชื่อฟังอย่างสุจริตใจ).
- ↑ 104.0 104.1 104.2 รอธบาร์ด, เมอร์เรย์ (1970). อำนาจและการตลาด. Institute for Humane Studies. ISBN 1-933550-05-8.[ต้องการเลขหน้า]
- ↑ 105.0 105.1 ลอง, รอเดอริก ที. (1 ธันวาคม 2013). "Reply to Stephen Cox". The Journal of Ayn Rand Studies. 13 (2): 210–223. doi:10.5325/jaynrandstud.13.2.0210.
- ↑ บล็อก, วอลเตอร์ (2005). "Ayn Rand and Austrian Economics: Two Peas in a Pod". The Journal of Ayn Rand Studies. 6 (2): 259–269. JSTOR 41560283.
- ↑ Frederick Engels – Socialism: Utopian and Scientific. 1880 เก็บถาวร 2007-02-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Full Text. From Historical Materialism: "การแทรกแซงของรัฐในความสัมพันธ์ทางสังคมกลายเป็นเรื่องที่ดูฟุ่มเฟือย และจากนั้นก็ถูกหักล้างด้วยตัวของมันเอง การปกครองโดยบุคคลถูกแทนที่ด้วยการบริหารสรรพสิ่ง และโดยการดำเนินกระบวนการผลิต รัฐมิได้ "ยกเลิก" มันลงไปเองตามเจตนา... การสร้างผลิตผลทางสังคมตามแผนที่กำหนดไว้ล่วงหน้าจะเป็นไปได้ต่อจากนี้ ก็ด้วยการพัฒนาทางด้านการผลิตทำให้การดำรงอยู่ของชนชั้นต่าง ๆ ในสังคมนับแต่นั้นเป็นต้นมากลายเป็นความล้าสมัย สัดส่วนของความเป็นอนาธิปไตยในการผลิตทางสังคมจะหายไป อำนาจทางการเมืองของรัฐก็สูญสิ้นไป ท้ายที่สุดมนุษย์ก็จะเป็นนายของการจัดระเบียบทางสังคมในรูปแบบของเขาเอง ในเวลาเดียวกันก็จะกลายเป็นเจ้าเหนือธรรมชาติที่มีอิสระด้วยตัวของเขาเองอีกเช่นกัน"
- ↑ 108.0 108.1 ฟลินต์ & เทย์เลอร์, 2007: p. 139
- ↑ โจเซฟ, 2004: p. 15 เก็บถาวร 6 พฤษภาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ แบร์โรว์, 1993: p. 4
- ↑ สมิธ, มาร์ก เจ. (2000). Rethinking state theory. Psychology Press. p. 176. ISBN 978-0-415-20892-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 พฤษภาคม 2016.
- ↑ โจเซฟ, 2004: p. 44 เก็บถาวร 29 กรกฎาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ วินเซนต์, 1992: pp. 47–48 เก็บถาวร 30 เมษายน 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ ดาห์ล, รอเบิร์ต (1973). Modern Political Analysis. Prentice Hall. p. [ต้องการเลขหน้า]. ISBN 0-13-596981-6.
- ↑ คันนิงแฮม, แฟรงก์ (2002). Theories of democracy: a critical introduction. Psychology Press. pp. 86–87. ISBN 978-0-415-22879-4. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 พฤษภาคม 2016.
- ↑ ซไวเกินฮาฟต์, ริชาร์ด แอล. & ดอมฮ็อฟฟ์, จี. วิลเลียม (2006). Diversity in the power elite: how it happened, why it matters (พิมพ์ครั้งที่ 2 ed.). โรว์มัน & ลิทเทิลฟีลด์. p. 4. ISBN 978-0-7425-3699-9. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 April 2016.
- ↑ ดันแคน, แกรม แคมป์เบลล์ (1989). ประชาธิปไตยและรัฐทุนนิยม. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์. p. 137. ISBN 978-0-521-28062-4. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 เมษายน 2016.
- ↑ เอ็ดการ์, แอนดรูว์ (2005). ปรัชญาของฮาแบร์มาส. McGill-Queen's Press. pp. 5–6, 44. ISBN 978-0-7735-2783-6.
- ↑ คุก, เดโบราห์ (2004). Adorno, Habermas, and the search for a rational society. Psychology Press. p. 20. ISBN 978-0-415-33479-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 เมษายน 2016.
- ↑ เมโลซี, ดาริโอ (2006). "Michel Foucault and the Obsolescent State". ใน โบลีเยอ, อาแล็ง; แก็บบาร์ด, เดวิด (บ.ก.). Michel Foucault and power today: international multidisciplinary studies in the history of the present. Lexington Books. p. 6. ISBN 978-0-7391-1324-0. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 พฤษภาคม 2016.
- ↑ กอร์ดอน, โคลิน (1991). "Government rationality: an introduction". ใน Foucault, Michel; และคณะ (บ.ก.). The Foucault effect: studies in governmentality. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชิคาโก. p. 4. ISBN 978-0-226-08045-1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 พฤษภาคม 2016.
- ↑ มิตเชลล์, ทิโมธี (2006). "สังคม เศรษฐกิจ และผลกระทบต่อรัฐ". ใน ศรรมะ, อาราธนา; คุปตะ, อาคลี (บ.ก.). The anthropology of the state: a reader. ไวลีย์-แบล็กเวลล์. p. 179. ISBN 978-1-4051-1467-7. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 May 2016.
- ↑ เลมเกอ, ทอมัส (2011). ฟูโกต์ การเมืองการปกครอง และบทวิพากษ์. Paradigm Publishers. p. 15. ISBN 978-1-59451-637-5. OCLC 653123044.
- ↑ มีแชล, ฟูโก (2007). ความมั่นคง,ดินแดน,ประชากร. pp. 311–332.
- ↑ มีแชล, ฟูโก (2007). ความมั่นคง,เขตแดน,ประชากร. pp. 1–27.
- ↑ มีแชล, ฟูโก (2007). ความมั่นคง,เขตแดน,ประชากร. pp. 87–115 115–135.
- ↑ จาโน ร็อกกา "The Faces of Belial – The Scientific Method Applied to Human Condition – Book V" (2020) https://independent.academia.edu/GianoRocca
- ↑ สแคลร์, เลสลีย์ (2004). "Globalizing class theory". ใน ซินแคลร์, ทิโมธี (บ.ก.). Global governance: critical concepts in political science. เทย์เลอร์ & แฟรนซิส. pp. 139–140. ISBN 978-0-415-27665-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 May 2016.
- ↑ วินเซนต์, 1992: p. 43 เก็บถาวร 24 มิถุนายน 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ มาเลเชวิช, 2002: p. 85 เก็บถาวร 20 พฤษภาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ โดแกน, 1992: pp. 119–120 เก็บถาวร 17 มิถุนายน 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ "เลอไวอะธัน, โดย ทอมัส ฮอบส์". www.gutenberg.org. สืบค้นเมื่อ 2020-11-19.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ ล็อก, จอห์น (1690). ความเรียงที่สองว่าด้วยการปกครอง.[ต้องการเลขหน้า]
- ↑ สตีเฟน ค็อกซ์ (2013). "Rand, Paterson, and the Problem of Anarchism". The Journal of Ayn Rand Studies. 13 (1): 3. doi:10.5325/jaynrandstud.13.1.0003. S2CID 169439235.
- ↑ วอลเลอร์สตีน, อิมมานูเอล (1999). The end of the world as we know it: social science for the twenty-first century. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยมินนิโซตา. p. 228. ISBN 978-0-8166-3398-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 พฤษภาคม 2016.
- ↑ คอลลินส์, แรนดัลล์ (1986). Weberian Sociological Theory. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์. p. 158. ISBN 978-0-521-31426-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 มิถุนายน 2016.
- ↑ สเวดเบิร์ก, ริชาร์ด & เอจเวล, โอลา (2005). The Max Weber dictionary: key words and central concepts. Stanford University Press. p. 148. ISBN 978-0-8047-5095-0. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 เมษายน 2016.
- ↑ ซามูเอลส์, เดวิด (2012). การเมืองเปรียบเทียบ. Pearson Higher Education. p. 29.
- ↑ 139.0 139.1 ซามูเอลส์, เดวิด. การเมืองเปรียบเทียบ. Pearson Higher Education.
- ↑ มิกแดล, โจเอล (1988). Strong societies and weak states: state-society relations and state capabilities in the Third World. pp. บทที่ 2.
- ↑ มิกแดล, โจเอล (1988). Strong societies and weak states: state-society relations and state capabilities in the Third World. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน. pp. บทที่ 8.
บรรณานุกรม
แก้- Barrow, Clyde W. (1993). Critical Theories of State: Marxist, Neo-Marxist, Post-Marxist. University of Wisconsin Press. ISBN 0-299-13714-7.
- Bobbio, Norberto (1989). Democracy and Dictatorship: The Nature and Limits of State Power. University of Minnesota Press. ISBN 0-8166-1813-5.
- Cudworth, Erika (2007). The Modern State: Theories and Ideologies. Edinburgh University Press. ISBN 978-0-7486-2176-7.
- Dogan, Mattei (1992). "Conceptions of Legitimacy". ใน Paynter, John; และคณะ (บ.ก.). Encyclopedia of government and politics. Psychology Press. ISBN 978-0-415-07224-3.
- Flint, Colin & Taylor, Peter (2007). Political Geography: World Economy, Nation-State, and Locality (5th ed.). Pearson/Prentice Hall. ISBN 978-0-13-196012-1.
- Garrard, Graeme (2022). The Return of the State: And Why It Is Essential For Our Health, Wealth and Happiness. Yale University Press. ISBN 9780300256758.
- Hay, Colin (2001). "State theory". ใน Jones, R.J. Barry (บ.ก.). Routledge Encyclopedia of International Political Economy: Entries P-Z. Taylor & Francis. pp. 1469–1475. ISBN 978-0-415-24352-0.
- Joseph, Jonathan (2004). Social theory: an introduction. NYU Press. ISBN 978-0-8147-4277-8.
- Malešević, Siniša (2002). Ideology, legitimacy and the new state: Yugoslavia, Serbia and Croatia. Routledge. ISBN 978-0-7146-5215-3.
- Nelson, Brian T. (2006). The making of the modern state: a theoretical evolution. Palgrave Macmillan. ISBN 978-1-4039-7189-0.
- Rueschemeyer, Dietrich; Skocpol, Theda; Evans, Peter B. (1985). Bringing the State Back In. Cambridge University Press. ISBN 0-521-31313-9.
- Salmon, Trevor C. (2008). Issues in international relations. Taylor & Francis US. ISBN 978-0-415-43126-2.
- Sartwell, Crispin (2008). Against the state: an introduction to anarchist political theory. SUNY Press. ISBN 978-0-7914-7447-1.
- Scott, James C. (2009). The art of not being governed: an anarchist history of upland Southeast Asia. Yale University Press. ISBN 978-0-300-15228-9.
- Skinner, Quentin (1989). "The state". ใน Ball, T; Farr, J.; Hanson, R.L. (บ.ก.). Political Innovation and Conceptual Change. Cambridge University Press. pp. 90–131. ISBN 0-521-35978-3.
- Vincent, Andrew (1992). "Conceptions of the State". ใน Paynter, John; และคณะ (บ.ก.). Encyclopedia of government and politics. Psychology Press. ISBN 978-0-415-07224-3.
อ่านเพิ่ม
แก้- แบร์โรว์, ไคลด์ ดับบลิว. (2002). "The Miliband-Poulantzas Debate: An Intellectual History". ใน อาโรโนวิตซ์, สแตนลีย์; แบร็ตซิส, ปีเตอร์ (บ.ก.). กระบวนทัศน์ที่หายไป: ทฤษฎีโดยรัฐที่ถูกนำมาพิจารณาใหม่. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยมินนิโซตา. ISBN 978-0-8166-3293-0.
- บ็อตเทอมอร์, ที.บี., บ.ก. (1991). "รัฐ". พจนานุกรมความคิดแบบลัทธิมากส์ (2nd ed.). ไวลีย์-แบล็กเวลล์. ISBN 978-0-631-18082-1.
- แบร็ตซิส, ปีเตอร์ (2006). ชีวิตประจำวันกับรัฐ. Paradigm. ISBN 978-1-59451-219-3.
- ฟอกส์, คีธ (2000). "ทฤษฎีว่าด้วยรัฐแบบคลาสสิกกับภาคประชาสังคม"". สังคมวิทยาการเมือง: บทนำเชิงวิพากษ์. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก. ISBN 978-0-8147-2709-6.
- เฟลด์บรูจ, เฟอร์ดินานด์ เจ.เอ็ม., บ.ก. (2003). จุดเริ่มต้นของกฎหมาย. Martinus Nijhoff Publishers. ISBN 978-90-04-13705-9.
- ฟิสก์, มิลตัน (1989). รัฐกับความยุติธรรม: บทความเกี่ยวกับทฤษฎีทางการเมือง. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์. ISBN 978-0-521-38966-2.
- ฟรีเดอบวร์ค, โรแบร์ท ฟ็อน (2011). รูปแบบของรัฐและระบบของรัฐในยุโรปสมัยใหม่. สถาบันประวัติศาสตร์ยุโรป.
- กรีน, เพนนี & วาร์ด, โทนี (2009). "ความรุนแรงและรัฐ". ใน โคลแมน, รอย; และคณะ (บ.ก.). รัฐ, อำนาจ, อาชญากรรม. Sage. p. 116. ISBN 978-1-4129-4805-0.
- ฮอลล์, จอห์น เอ., บ.ก. (1994). รัฐ: แนวคิดเชิงวิพากษ์ (เลมที่ 1 และ 2). เทย์เลอร์ & แฟรนซิส. ISBN 978-0-415-08683-7.
- แฮนเซน, ทอมัส บลอม; สเต็ปพูแทต, ฟินน์, บ.ก. (2001). รัฐในจินตนาการ: การสำรวจทางชาติพันธุ์วิทยาของรัฐหลังสมัยอาณานิคม. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยดุ๊ก. ISBN 978-0-8223-2798-1.
- ฮอฟฟ์แมน, จอห์น (1995). นอกเหนือจากรัฐ: ข้อวิจารณ์เบื้องต้น. Polity Press. ISBN 978-0-7456-1181-5.
- ฮอฟฟ์แมน, จอห์น (2004). การเป็นพลเมืองเหนือรัฐ. Sage. ISBN 978-0-7619-4942-8.
- เจสซอฟ, บ็อบ (1990). ทฤษฎีว่าด้วยรัฐ: การนำรัฐทุนนิยมเข้าแทนที่. Penn State Press. ISBN 978-0-271-00735-9.
- เจสซอฟ, บ็อบ (2009). "การออกแบบรัฐใหม่ การปรับทิศทางอำนาจรัฐ และการคิดใหม่โดยรัฐ". ใน ลีชท์, เควิน ที.; เจนกินส์, เจย์. เคร็ก (บ.ก.). คู่มือการเมือง: รัฐและสังคมในมุมมองโลก. Springer. ISBN 978-0-387-68929-6.
- เลอแฟฟวร์, อ็องรี (2009). เบร็นเนอร์, นีล; เอลเด็น, สจวร์ต (บ.ก.). รัฐ, อวกาศ, โลก: บทความคัดสรร. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยมินนิโซตา. ISBN 978-0-8166-5317-1.
- ลอง, รอเดอริก ที. & มาแคน, ทีบอร์ อาร์. (2008). อนาธิปไตย/ลัทธิแบ่งแยกอำนาจ: รัฐบาลเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเสรีหรือไม่?. Ashgate Publishing. ISBN 978-0-7546-6066-8.
- แมนน์, ไมเคิล (1994). "อำนาจปกครองตนเองของรัฐ: ต้นกำเนิด กลไก และผลลัพธ์". ใน ฮอลล์, จอห์น เอ. (บ.ก.). รัฐ: แนวคิดเชิงวิพากษ์ เล่มที่ 1. เทย์เลอร์ & แฟรนซิส. ISBN 978-0-415-08680-6.
- อ็อพเพินไฮเมอร์, ฟรันทซ์ (1975). รัฐ. Black Rose Books. ISBN 978-0-919618-59-6.
- ปูลัสจัส, นิโกส & คามิลเลอร์, แพทริก (2000). รัฐ, อำนาจ, สังคมนิยม. Verso. ISBN 978-1-85984-274-4.
- แซนเดอร์ส, จอห์น ที. & นาร์วิสัน, แจน (1996). เพื่อและต่อต้านรัฐ: การอ่านปรัชญารูปแบบใหม่. โรว์แมน & ลิทเทิลฟีลด์. ISBN 978-0-8476-8165-5.
- สก็อตต์, เจมส์ ซี. (1998). มองเหมือนรัฐ: วิธีรับมือในการปรับปรุงสภาพความล้มเหลวของมนุษย์ด้วยอย่างไร. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเยล. ISBN 978-0-300-07815-2.
- เทย์เลอร์, ไมเคิล (1982). ชุมชน อนาธิปไตย และเสรีภาพ. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์. ISBN 978-0-521-27014-4.
- ซิพเพอลิอุส, ไรน์ฮ็อลท์ (2010). ว่าด้วยการเมืองเบื้องต้น, รัฐศาสตร์ (16th ed.). เซ.ฮา. เบ็ค, มิวนิก. ISBN 978-3406603426.
- อุซกาลิส, วิลเลียม (5 พฤษภาคม 2007). "จอห์น ล็อก". สารานุกรมปรัชญาสแตนฟอร์ด.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้วิกิคำคม มีคำคมที่กล่าวโดย หรือเกี่ยวกับ State
- บาร์เคลย์, ทอมัส (1911). . สารานุกรมบริตานิกา ค.ศ. 1911. Vol. 25 (11 ed.). pp. 799–801.