สตีฟ แนช
สตีเฟน จอห์น แนช (Stephen John Nash) หรือ สตีฟ แนช (Steve Nash) (เกิด 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517[2] ที่โจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้)[3] เป็นอดีตนักบาสเกตบอลชาวแคนาดา
แนชในปี 2014 | |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
---|---|
เกิด | โจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ | 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1974
สัญชาติ | แคนาดา |
ส่วนสูงที่ระบุ | 6 ft 3 in (1.91 m) |
น้ำหนักที่ระบุ | 178 lb (81 kg)[1] |
ข้อมูลอาชีพ | |
ไฮสกูล | St. Michaels (Victoria, British Columbia) |
วิทยาลัย | Santa Clara (1992–1996) |
การดราฟต์เอ็นบีเอ | 1996 / รอบ: 1 / เลือก: 15th โอเวอร์ออล |
เลือกโดยฟีนิกส์ ซันส์ | |
การเล่นอาชีพ | 1996–2015 |
ตำแหน่ง | พอยท์การ์ด |
หมายเลข | 13, 10 |
Coaching career | 2020–present |
ประวัติอาชีพ | |
As player: | |
1996–1998 | ฟีนิกส์ ซันส์ |
1998–2004 | ดัลลัส แมฟเวอริกส์ |
2004–2012 | ฟีนิกส์ ซันส์ |
2012–2015 | ลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ |
As coach: | |
2020–2022 | Brooklyn Nets |
สถิติอาชีพ | |
แต้ม | 17,387 (14.3 แต้มต่อเกม) |
รีบาวด์ | 3,642 (3.0 รีบาวด์ต่อเกม) |
แอสซิสต์ | 10,335 (8.5 แอสซิสต์ต่อเกม) |
หอเกียรติยศบาสเกตบอลในฐานะผู้เล่น | |
FIBA Hall of Fame as player | |
Medals |
ด้วยส่วนสูงประมาณ 6 ฟุต 3 นิ้ว แนชเป็นพอยท์การ์ดตัวจริงให้กับทีมฟีนิกส์ ซันส์ในลีกเอ็นบีเอ ได้รับเลือกให้เล่นในเกมรวมดารา (All-Star Game) ในปี ค.ศ. 2005 และ 2006 และยังได้รับเลือกก่อนหน้านั้นในปี ค.ศ. 2002 และ 2003 ขณะเล่นให้กับทีมดัลลัส แมฟเวอริกส์ ในปี ค.ศ. 2005 แนช ได้รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) โดยเฉือนเอาชนะแชคิล โอนีลจากทีมไมแอมี ฮีท[4] และยังได้รางวัลนี้อีกครั้งในปี ค.ศ. 2006
วัยเด็ก
แก้แนช เกิดในประเทศแอฟริกาใต้เนื่องจากบิดาเขาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่ครอบครัวก็ย้ายมาตั้งหลักในประเทศแคนาดาก่อนที่แนชจะมีอายุครบสองขวบ เหตุผลที่ย้ายเพราะครอบครัวของแนชไม่ต้องการเห็นลูก ๆ ของเขาเติบโตในสิ่งแวดล้อมที่มีการเหยียดสีผิว[3]
แนชมาจากครอบครัวนักกีฬา จอห์น แนช (John Nash) บิดาของเขาเคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพในแอฟริกาใต้[2] มาร์ติน แนช (Martin Nash) น้องชายเขาได้เล่นให้กับฟุตบอลทีมชาติแคนาดามากกว่า 30 ครั้ง[5] โจแอน (Joann) น้องสาวเป็นกัปตันทีมฟุตบอลที่มหาวิทยาลัยวิกตอเรีย[6]
แนชเติบโตขึ้นที่เมืองวิกตอเรีย บริติชโคลัมเบีย และเล่นบาสเกตบอลระดับไฮสกูลที่โรงเรียนเซนต์ไมเคิลยูนิเวอร์ซิตี (St. Michaels University School)[7] ในปีสุดท้ายเขาทำได้เฉลี่ยเกือบเป็นทริปเปิล-ดับเบิลต่อเกม โดยได้เกิน 21 คะแนน 11 แอสซิสต์ และ 9 รีบาวด์ และพาทีมไปคว้าแชมป์ของรัฐบริติชโคลัมเบียในระดับ AAA และเป็นผู้เล่นแห่งปีประจำรัฐ แต่ไม่มีมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริการะดับเอ็นซีดับเบิลเอ (NCAA) ไหนที่เสนอทุนการศึกษาให้กับแนชเลย เอียน ไฮด์-เลย์ (Ian Hyde-Lay) โค้ชของเขาส่งจดหมายและเทปการเล่นของแนชไปยังมหาวิทยาลัยอเมริกันมากกว่า 30 แห่ง แต่ได้รับการปฏิเสธหรือไม่มีการตอบกลับมา[8]
แต่หัวหน้าโค้ชมหาวิทยาลัยซานตาคลารา (Santa Clara University) ดิก เดวี (Dick Davey) ได้รับคำแนะนำและขอเทปการเล่นถึงสองครั้งก่อนที่จะเดินทางจากแคลิฟอร์เนียไปพบแนชด้วยตัวเอง หลังจากชมการเล่นของแนชแล้ว แนชก็ได้รับทุนของมหาวิทยาลัยซานตาคลาราก่อนฤดูกาล 1992-93 ซึ่งต่อมาเขาก็ได้กลายเป็นนักบาสเกตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในเวสโคสต์คอนเฟอเรนซ์ (West Coast Conference, WCC) เลยทีเดียว
ระดับมหาวิทยาลัย
แก้ตอนอยู่ปีหนึ่ง (ฤดูกาล 1992-93) แนชช่วยให้ซานตาคลารา หรือบรองโกส์ (Broncos) คว้าแชมป์ของทัวนาเมนต์เวสโคสต์คอนเฟอเรนซ์ และได้สิทธิ์เข้าไปเล่นในทัวนาเมนต์ของเอ็นซีดับเบิลเอโดยอัตโนมัติ แนชยังเป็นนักกีฬาปีหนึ่งคนแรกที่ได้รางวัลเอ็มวีพีในทัวนาเมนต์ WCC ส่วนในรอบแรกของทัวนาเมนต์ NCAA เขาทำให้ทีมซึ่งจัดอยู่ในอันดับ 15 เอาชนะทีมอันดับสองของสายคือ มหาวิทยาลัยแอริโซนา ด้วยคะแนน 64-61 แนชชู้ตลูกโทษได้ติดต่อกัน 6 ลูกในช่วง 31 วินาทีสุดท้ายเพื่อเก็บชัยชนะ[8]
ถึงแม้ว่าแนชจะเล่นได้ดีตอนอยู่ปีสอง (ฤดูกาล 1993-94) แต่ทีมกลับไม่ประสบความสำเร็จตามที่หวังไว้และไม่เข้าไปเล่นในทัวนาเมนต์ NCAA แต่มหาวิทยาลัยก็สามารถกลับมารุ่งอีกครั้งในปีถัดมาจากการเล่นของแนช ปีนี้แนชทำคะแนน, แอสซิสต์ และเปอร์เซนต์การชู้ตสามคะแนนเป็นอันดับแรกในคอนเฟอเรนซ์ และเป็นผู้เล่นแห่งปีของ WCC แต่แนชและเพื่อนร่วมทีมก็ไม่สามารถเอาชนะมหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปีสเตตในรอบแรก แนชเคยคิดที่จะเข้าดราฟในเอ็นบีเอหลังจากจบปีสาม แต่เปลี่ยนใจเมื่อรู้ว่าเขาจะไม่ถูกดราฟสูงกว่ารอบที่สอง จึงต้องอยู่พัฒนาฝีมือต่อในมหาวิทยาลัยอีกปี[8]
แล้วแนชก็ทำเช่นนั้น โดยช่วงปิดฤดูร้อนได้ฝึกซ้อมกับผู้เล่นเอ็นบีเอ อย่าง เจสัน คิดด์ (Jason Kidd) และ แกรี เพย์ตัน (Gary Payton) เนื่องจากตอนนั้นเขาเริ่มเป็นที่สนใจของสื่อ พอถึงฤดูกาล 1995-96 แนชพาทีมของเขาซึ่งจัดอยู่ในสายระดับปานกลางเอาชนะทีมอย่างยูซีแอลเอ และมิชิแกนสเตตในช่วงแรก ๆ ของฤดูกาล ซานตาคลาราเป็นแชมป์ WCC อีกสมัย และแนชก็เป็นผู้เล่นแห่งปีของ WCC สองสมัยติดต่อกัน[8] เขาสิ้นสุดอาชีพการเล่นระดับมหาวิทยาลัย ด้วยสถิติแอสซิสต์สูงสุดตลอดกาล คือ 510 แอสซิสต์ ชู้ตลูกโทษดีที่สุดที่ .862 (หรือ 86.2%) ชู้ตสามแต้มได้มากที่สุด (263 ครั้ง)[2]
เมื่อกันยายน ค.ศ. 2006 มหาวิทยาลัยซานตาคลารา ก็ได้รีไทร์เสื้อหมายเลข 11 ของเขา ถือเป็นนักกีฬาคนแรกที่ได้รับเกียรตินี้ [9]
อาชีพการเล่นในเอ็นบีเอ
แก้อยู่กับฟีนิกส์ในสมัยแรก
แก้แนชได้รับเลือกเป็นคนที่ 15 ในการดราฟรอบแรกของเอ็นบีเอเมื่อปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) โดยทีมฟีนิกส์ ซันส์ ไม่เคยมีชาวแคนาดาคนไหนที่ถูกเลือกในอันดับสูงเช่นนี้ แต่สิ่งนี้กลับไม่มีความหมายกับแฟนของทีมซันส์และโห่ทีมที่เลือกแนช ถึงแม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในระดับมหาวิทยาลัย แต่เขาไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเพราะไม่ได้เล่นให้มหาวิทยาลัยในคอนเฟอเรนซ์ที่มีชื่อเสียง เขาเล่นสำรองให้กับดาราในเอ็นบีเอคือเจสัน คิด (Jason Kidd) และเควิน จอห์นสัน (Kevin Johnson) อยู่สองปี ในปีแรก คือฤดูกาล 1996-97 แนชทำเฉลี่ยเพียง 3.3 แต้ม และ 2.1 แอสซิสต์เนื่องจากได้เล่นน้อย แต่ด้วยความพยายามเขาได้ลงสนามมากขึ้นในฤดูกาล 1997-98 และทำเฉลี่ยเพิ่มเป็น 9.1 แต้ม 3.4 แอสซิสต์ แต่ปีนั้นก็เป็นปีสุดท้ายที่แนชจะเล่นให้ทีมซันส์ก่อนที่จะไปอยู่ทีมอื่นเป็นเวลาหกปี[10]
ดัลลัส
แก้แนชได้รู้จักและเป็นเพื่อนกับผู้ช่วยโค้ชทีมดัลลัส แมฟเวอริกส์ ดอนนี เนลสัน ตอนที่แนชอยู่ที่ซานตาคลารา และแนลสันทำงานให้กับทีมโกลเดนสเตท วอริเออร์ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน ต่อมาเนลสันรับงานใหม่กับทีมซันส์ เขาเป็นคนแนะให้ทีมเลือกแนช หลังจากเขาย้ายไปดัลลัส เนลสันก็ได้เสนอให้บิดาของเขา ดอน เนลสัน ซึ่งในขณะนั้นเป็นโค้ชและผู้จัดการทั่วไปของทีมแมฟเวอริกส์ดึงตัวแนชมา ในวันดราฟ มิถุนายน พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) แนช ก็ถูกเทรดจากซันส์ไปแมฟเวอริกส์เพื่อแลกกับ Martin Müürsepp, บับบา เวลส์ (Bubba Wells), สิทธิ์ในการดราฟ แพท แกร์ริตี (Pat Garrity) และสิทธิ์การดราฟรอบแรกซึ่งซันส์ใช้การเลือก ชอน แมริออน (Shawn Marion)[8]
ปีแรกที่เล่นให้ดัลลัส เป็นฤดูกาลที่สั้นกว่าปกติเนื่องจากมีการประท้วงหยุดเล่น แนชไม่ได้ลงเล่น 10 เกมเพราะเจ็บหลัง และแฟนต่างโห่แนชตลอดทั้งฤดูกาลเพราะไม่พอใจการเทรดของทีม[8]
ในฤดูกาล 1999-2000 ถึงแม้ว่าแนชจะพักไป 25 เกมจากการบาดเจ็บข้อเท้า เขากลับมาเล่นและทำดับเบิล-ดับเบิลหกครั้งในเดือนสุดท้ายของการเล่น และจบฤดูกาลทำเฉลี่ย 8.6 แต้ม 4.9 แอสซิสต์ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือแนช และเพื่อนร่วมทีม เดิร์ก โนวิตสกี (Dirk Nowitzki) พัฒนาฝีมือไปสู่ระดับซูเปอร์สตาร์ ในขณะที่ผู้เล่นมากประสบการณ์ ไมเคิล ฟินลี (Michael Finley) ก็สร้างผลงานในระดับออลสตาร์ รวมถึงเจ้าของทีมคนใหม่ มาร์ก คิวบัน (Mark Cuban) ก็นำเอาพลังและความเร้าใจมาใส่ในทีม เหล่านี้เสริมให้แนชพัฒนาเกมการเล่นขึ้นมาก
ในฤดูกาล 2000-01 แนชทำเฉลี่ยถึง 15.3 คะแนน 7.3 แอสซิสต์ต่อเกม ได้ตำแหน่ง Comeback Player of the Year จากนิตยสาร Basketball Digest จากการนำเกมการบุกของแนช และการเล่นในระดับสูงของโนวิตสกี และ ฟินลี รวมทั้งผู้เล่นออลสตาร์ ฮวน ฮาวาร์ด ที่เข้าร่วมทีมมาเสริมการทำคะแนนของทั้งสาม แมฟเวอริกส์ได้เข้าเล่นในเพลย์ออฟเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี ดัลลัสแพ้ในรอบที่สอง แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าเพลย์ออฟติดต่อกันหลายสมัยของแนชและแมฟเวอริกส์
ฤดูกาล 2001-02 แนชทำได้สูงสุดในอาชีพ ที่ 17.9 คะแนน 7.7 แอสซิสต์ และได้เข้าเล่นในเกมรวมดาราของเอ็นบีเอ และได้เลือกเป็น ออล-เอ็นบีเอ ทีมสาม ตอนนี้เขาเป็นออลสตาร์ เริ่มปรากฏในโฆษณาทางโทรทัศน์ และเป็นส่วนหนึ่งของ Big Three ร่วมกับฟินลี และ โนวิตสกี ทั้งสามยังปรากฏตัวร่วมกันในภาพยนตร์ Like Mike ดัลลัสได้เล่นเพลย์ออฟอีกครั้ง และตกรอบสอง แต่ทีมก็มีความหวังมากขึ้นในฤดูกาลต่อไป
แนชเกือบจะทำได้เหมือนฤดูกาลก่อนหน้านั้น ในปี 2002-03 เฉลี่ยได้ 17.7 แต้ม 7.3 แอสซิสต์ต่อเกม ได้เข้าเล่นในออลสตาร์และเลือกเป็น ออล-เอ็นบีเอ ทีมสาม อีกครั้ง แนชและโนวิตสกีเปิดฤดูกาลโดยการชนะติดต่อกัน 14 เกม ซึ่งนำไปสู่เพลย์ออฟรอบสุดท้ายของสายตะวันตก และแพ้ให้กับซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ซึ่งคว้าแชมป์ในปีนั้น
แต่แนช และ Big Three ไปได้ไกลสุดเพียงแค่นี้ ฤดูกาล 2003-04 แนชทำคะแนนตกลงเหลือ 14.5 ต่อเกมและไม่ได้เล่นในออลสตาร์และไม่ติดทีม ออล-เอ็นบีเอ แต่เปอร์เซนต์การชู้ตสูงขึ้นจากฤดูกาลที่แล้ว 46.5 ไปเป็น 47% แอสซิสต์เฉลี่ย 8.8 และเปอร์เซนต์การชู้ตลูกโทษ 91.6% ถือเป็นค่าสูงสุดตลอดอาชีพการเล่น อย่างไรก็ตาม ดัลลัสไม่สามารถผ่านเพลย์ออฟรอบแรกได้ เป็นผลงานที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 1999-2000
และเมื่อสัญญาของแนชหมดอายุลง แนชพยายามเจรจาเซ็นสัญญาระยะยาวกับ มาร์ก คิวบัน แต่ก็ไม่สำเร็จ คิวบันไม่ต้องการสูญเสียแนชไป แต่ต้องการสร้างทีมของเขาจากโนวิตสกี และไม่อยากเสี่ยงเซ็นสัญญาระยะยาวกับแนชที่มีอายุมากแล้ว คิวบันจึงได้เสนอสัญญา 4 ปี มูลค่าประมาณ 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และโอกาสสำหรับปีที่ 5 ถ้าเล่นดี คิวบันเขียนบันทึกไว้ว่าเป็นสัญญาที่ยุติธรรมและถ้าแนชได้ข้อเสนอที่ดีกว่า แนชก็ควรที่จะรับไว้และเขาก็จะยินดีด้วย แนชค้นหาข้อตกลงอื่นและสุดท้ายลงเอยกับฟีนิกส์ ซึ่งเขาก็ยังมีบ้านอยู่ ซันส์เสนอแนช ซึ่งขณะนั้นอายุ 30 ปีแล้ว ด้วยสัญญาระยะ 6 ปีรวมเป็นเงิน 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แนชลังเลที่จะออกจากดัลลัสและถามคิวบันว่าจะเสนอสัญญาระดับเดียวกันหรือไม่ ซึ่งคิวบันลังเลและแนชก็เซ็นกับซันส์ในที่สุด
อยู่กับฟีนิกส์สมัยที่สอง
แก้ฟีนิกส์ซันส์มีผู้เล่นอายุน้อยแต่อยู่ระดับซูเปอร์สตาร์สองคน คือ ฟอร์เวิร์ด ชอน แมริออน และฟอร์เวิร์ด-เซ็นเตอร์ อามาเร สเตาเดอไมร์ (Amare Stoudemire) ซึ่งได้รับรางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปี (Rookie of the Year) ของฤดูกาล 2002-03 ถึงแม้ว่าจะมีผู้เล่นที่มีพรสวรรค์และอายุไม่มาก แต่ทีมก็ทำสถิติชนะเพียง 29 เกมแพ้ 53 เกมในฤดูกาล 2003-04 ทีมแทบไม่เปลี่ยนแปลงนอกจากแนชและสวิงแมน เควนติน ริชาร์ดสัน (Quentin Richardson) นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าทีมจะได้ผลงานอยู่ระดับล่าง ๆ ของคอนเฟอเรนส์ตะวันตก
หัวหน้าโค้ช ไมค์ แดนโทนี (Mike D'Antoni) ผู้เข้ามารับตำแหน่งกลางฤดูกาลที่ผ่านมา ปรับมาใช้แผนการเล่นแบบ รันแอนด์กัน (run and gun) ซึ่งเคยนิยมในสมัยคริสต์ทศวรรษ 1980 ใช้ผู้เล่นตัวเล็กและคล่องแคล่ว แดนโทนีให้แนชเล่นเกมบุกแบบฟาสต์เบรก (fastbreak) พยายามวิ่งแซงผู้เล่นทีมรับฝ่ายตรงข้ามไปเข้าทำคะแนนที่ห่วง ทุกคนได้สิทธิ์ในการชู้ตลูกตลอดเวลา ผลลัพธ์ที่ได้คือทีมที่ทำคะแนนได้สูงสุดในทศวรรษ โดยทำได้เฉลี่ย 110.4 คะแนนต่อเกมในฤดูกาลปกติ การส่งลูกที่แม่นยำของแนช ไปยัง สเตาเดอไมร์ แมริออน ริชาร์ดสัน และ โจ จอห์นสัน (Joe Johnson) เพื่อยัดลงห่วงหรือที่เรียกว่า alley oop ปรากฏในทีวีเป็นเพลย์เด่น ๆ จำนวนมาก
ซันส์ทำสถิติชนะ 31 แพ้ 5 ก่อนที่แนชจะบาดเจ็บในเกมถัดไป ซันส์แพ้ติดต่อกันสามเกมที่แนชไม่ได้ลงเล่น หลังจากแนชกลับเข้าทีม ทีมก็ชนะ 4 ใน 5 เกม และ 8 ใน 9 เกมถัดไป ซันส์จบฤดูกาลด้วยสถิติที่ดีที่สุดของเอ็นบีเอ คือ ชนะ 62 แพ้ 20 ซึ่งชนะมากกว่าฤดูกาลก่อนถึง 33 เกม
แนช ในตำแหน่งพอยท์การ์ดตัวจริง เป็นคนที่นำทีมให้กลับมาเก่งอีกครั้ง แม้ว่าเขาทำคะแนนเฉลี่ยเพียง 15.5 แต้มต่อเกม แต่เปอร์เซนต์การชู้ตของเขาอยู่ที่ 50.2% ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในอาชีพการเล่น และไม่ค่อยพบในตำแหน่งการ์ด สิ่งที่น่าประทับใจอีกอย่างคือแอสซิสต์เฉลี่ยที่ 11.5 ต่อเกม ซึ่งสูงสุดในอาชีพการเล่น และดีที่สุดในเอ็นบีเอฤดูกาลนั้น ในขณะที่ผู้เล่นอื่นทำได้ไม่เกิน 9 แนชยังทำดับเบิล-ดับเบิลรวมมากเป็นอันดับสาม รองจากเควิน การ์เน็ตและชอน แมริออน และทำทริปเปิล-ดับเบิลครั้งที่สองในอาชีพเมื่อ 30 มีนาคม โดยได้ 12 คะแนน 12 แอสซิสต์ และ 13 รีบาวด์ในเวลาเพียง 27 นาที แนชมีส่วนช่วยทีมมากที่สุดโดยการทำให้เพื่อนร่วมทีมเล่นดีขึ้น พวกเขาทำสถิติหลายอย่างดีที่สุดเท่าที่เคยเล่น ทั้งเพื่อนร่วมทีมและบุคคลภายนอกต่างยกความดีความชอบให้กับแนช ในปีนั้นแนชคว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าเมื่อจบฤดูกาลปกติโดยเฉือนเอาชนะแชคิล โอนีล ถือเป็นผู้เล่นชาวแคนาดาคนแรกที่ได้รางวัลนี้ และเป็นคนที่สามที่เกิดนอกสหรัฐอเมริกาที่ได้รางวัล (ต่อจาก ฮาคึม โอลาจูวอน และ ทิม ดังแคน)
ในเพลย์ออฟ ฟีนิกส์เอาชนะเมมฟิส กริซลีส์ในรอบแรกก่อนที่จะพบกับทีมเก่าของเขาในรอบที่สอง แนชนำทีมชนะดัลลัส แมฟเวอริกส์ 4 เกมต่อ 2 ในการเล่นรอบสุดท้ายของสายตะวันออก ซันส์แพ้ทีมซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ ใน 5 เกม ถึงแม้ว่าจะแพ้แต่แนชและซันส์ก็ยินดีกับการพัฒนาการและแนวโน้มที่ดีในอนาคต
ฤดูกาล 2005-2006
แก้ฤดูกาลนี้ซันส์ขาดผู้เล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์ที่แท้จริง และ มีผู้เล่นที่ยังไม่ค่อยได้ลงเล่นหลายคน เนื่องจากการบาดเจ็บ โดยเฉพาะอามาเร สเตาเดอไมร์ ผู้เล่นคนสำคัญซึ่งทั้งฤดูกาลได้เล่นเพียง 3 เกม จึงไม่ได้คาดว่าซันส์จะประสบความสำเร็จเท่าฤดูกาลที่แล้ว แต่ด้วยการนำทีมของแนช และการเล่นที่โดดเด่นของแมริออน และ ดิออ ซันส์ยังเป็นทีมที่เก่งในเอ็นบีเอ ซันส์ยังทำคะแนนสูงสุดในเอ็นบีเอ เฉลี่ยเกิน 100 ต่อเกม แนชถูกเลือกให้เป็นตัวจริงในการแข่งออลสตาร์ ฤดูกาลนี้แนชร่วมกับแมริออนนำทีมซันส์ให้ชนะ 54 เกมเป็นแชมป์สายแปซิฟิก แนชยังได้รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าอีกครั้งเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน และถือเป็นการ์ดคนที่สองที่ได้รับรางวัลนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง (อีกคนคือ แมจิก จอห์นสัน) รอบเพลย์ออฟฤดูกาลนี้ ซันส์เข้าถึงรอบชิงคอนเฟอเรนซ์ตะวันตกเช่นเดียวกับฤดูกาลที่แล้วและแพ้ให้กับทีมดัลลัส แมฟเวอริกส์
ฤดูกาล 2006-2007
แก้ฤดูกาลนี้ แนชยังมีผลงานดีมากเช่นเคย เล่นเฉลี่ย 18.6 คะแนนและ 11.6 แอสซิสต์ต่อเกม ซึ่งเป็นค่าแอสซิสต์เฉลี่ยสูงสุดตลอดอาชีพการเล่น อีกทั้งยังเป็นคนแรกที่ทำได้ 18 แต้ม 11 แอสซิสต์ตลอดฤดูกาลปกติต่อจาก แมจิก จอห์นสัน ซึ่งเคยทำได้ในฤดูกาล 1990-91 ได้รับเลือกเป็น ออล-เอ็นบีเอ ทีมแรก พร้อมกับ อามาเร สเตาเดอไมร์ เพื่อนร่วมทีม[11] และเกือบได้รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าติดต่อกันสามปีซ้อน โดยเป็นรอง เดิร์ก โนวิตสกี[12]
สถิติตลอดอาชีพการเล่นในเอ็นบีเอ
แก้- สถิติเมื่อ 25 ธันวาคม ค.ศ. 2007[10]
ฤดูกาลปกติ | ทีม | เกม | นาที/เกม | สตีล/เกม | บล็อก/เกม | รีบาวด์/เกม | แอสซิสต์/เกม | คะแนน/เกม | %การชู้ต | %การชู้ตสามแต้ม | %ลูกโทษ |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1996–97 | ฟีนิกส์ | 65 | 10.5 | 0.3 | 0.0 | 1.0 | 2.1 | 3.3 | 0.423 | 0.418 | 0.824 |
1997–98 | ฟีนิกส์ | 76 | 21.9 | 0.8 | 0.0 | 2.1 | 3.4 | 9.1 | 0.459 | 0.415 | 0.860 |
1998–99 | ดัลลัส | 40 | 31.7 | 0.9 | 0.0 | 2.9 | 5.5 | 7.9 | 0.363 | 0.374 | 0.826 |
1999–2000 | ดัลลัส | 56 | 27.4 | 0.7 | 0.0 | 2.2 | 4.9 | 8.6 | 0.477 | 0.403 | 0.882 |
2000–01 | ดัลลัส | 70 | 34.1 | 1.0 | 0.1 | 3.2 | 7.3 | 15.6 | 0.487 | 0.406 | 0.895 |
2001–02 | ดัลลัส | 82 | 34.6 | 0.6 | 0.0 | 3.1 | 7.7 | 17.9 | 0.483 | 0.455 | 0.887 |
2002–03 | ดัลลัส | 82 | 33.1 | 1.0 | 0.1 | 2.9 | 7.3 | 17.7 | 0.465 | 0.413 | 0.909 |
2003–04 | ดัลลัส | 78 | 33.5 | 0.9 | 0.1 | 3.0 | 8.8 | 14.5 | 0.470 | 0.405 | 0.916 |
2004–05 | ฟีนิกส์ | 75 | 34.3 | 1.0 | 0.1 | 3.3 | 11.5 | 15.5 | 0.502 | 0.431 | 0.887 |
2005–06 | ฟีนิกส์ | 79 | 35.4 | 0.8 | 0.2 | 4.2 | 10.5 | 18.8 | 0.512 | 0.439 | 0.921 |
2006–07 | ฟีนิกส์ | 76 | 35.3 | 0.8 | 0.1 | 3.5 | 11.6 | 18.6 | 0.532 | 0.455 | 0.899 |
2007–08 | ฟีนิกส์ | 27 | 34.6 | 0.6 | 0.0 | 3.8 | 12.4 | 17.3 | 0.516 | 0.468 | 0.933 |
เฉลี่ยตลอดอาชีพการเล่น | 30.6 | 0.8 | 0.0 | 2.9 | 7.7 | 14.1 | 0.484 | 0.427 | 0.898 | ||
รวมตลอดอาชีพการเล่น | 806 | 24,683 | 642 | 57 | 2,354 | 6,224 | 11,373 | 4,109-8,481 | 1,124-2,630 | 2,031-2,262 |
เพลย์ออฟ | ทีม | เกม | นาที/เกม | สตีล/เกม | บล็อก/เกม | รีบาวด์/เกม | แอสซิสต์/เกม | คะแนน/เกม | %การชู้ต | %การชู้ตสามแต้ม | %ลูกโทษ |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1996–97 | ฟีนิกส์ | 4 | 3.8 | 0.2 | 0.2 | 0.3 | 0.3 | 1.3 | 0.222 | 0.250 | 0.000 |
1997–98 | ฟีนิกส์ | 4 | 12.8 | 0.5 | 0.0 | 2.5 | 1.8 | 5.5 | 0.444 | 0.200 | 0.625 |
2000–01 | ดัลลัส | 10 | 37.0 | 0.6 | 0.1 | 3.2 | 6.4 | 13.6 | 0.417 | 0.410 | 0.882 |
2001–02 | ดัลลัส | 8 | 40.4 | 0.5 | 0.0 | 4.0 | 8.8 | 19.5 | 0.432 | 0.444 | 0.971 |
2002–03 | ดัลลัส | 20 | 36.5 | 0.8 | 0.0 | 3.5 | 7.3 | 16.1 | 0.447 | 0.487 | 0.873 |
2003–04 | ดัลลัส | 5 | 39.4 | 0.8 | 0.0 | 5.2 | 9.0 | 13.6 | 0.386 | 0.375 | 0.889 |
2004–05 | ฟีนิกส์ | 15 | 40.7 | 0.9 | 0.2 | 4.8 | 11.3 | 23.9 | 0.520 | 0.389 | 0.919 |
2005–06 | ฟีนิกส์ | 20 | 39.9 | 0.4 | 0.2 | 3.7 | 10.2 | 20.4 | 0.502 | 0.368 | 0.912 |
2006–07 | ฟีนิกส์ | 11 | 37.5 | 0.4 | 0.1 | 3.2 | 13.3 | 18.9 | 0.463 | 0.487 | 0.891 |
เฉลี่ยตลอดอาชีพการเล่น | 97 | 36.1 | 0.6 | 0.1 | 3.6 | 8.8 | 17.3 | 0.468 | 0.419 | 0.899 |
การเล่นระหว่างประเทศ
แก้ช่วงปิดภาคฤดูร้อนสมัยที่แนชเรียนอยู่ปีหนึ่ง แนชเป็นตัวแทนทีมบริติชโคลัมเบียในการแข่งแคนาดาเกมส์ และเล่นทีมชาติแคนาดาในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลก โดยแนชได้เหรียญทองแดงและเหรียญเงิน ตามลำดับ[8]
แนชเป็นกัปตันทีมชาติแคนาดาในการแข่งกีฬาโอลิมปิกปี 2000 ที่ซิดนีย์ นักวิจารณ์กีฬาคาดว่าแคนาดาจะมีสิทธิ์ลุ้นเหรียญรางวัล เมื่อทีมสามารถผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองสุดท้าย ทีมแพ้ฝรั่งเศสไป 5 คะแนนแต่เอาชนะรัสเซีย ได้อันดับ 7 ของทั้งหมด
แนชนำทีมแคนาดาอีกครั้งในรอบคัดเลือกเพื่อแข่งในโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2004 แนชผิดหวังที่ไม่สามารถพาทีมไปอยู่สามอันดับแรกได้ ทำให้พลาดโอกาสไปแข่งโอลิมปิกส์
ฟุตบอล
แก้แนชยังมีความสนใจกีฬาฟุตบอล และเคยเล่นฟุตบอลสมัยเด็ก ก่อนที่จะหันมาเล่นบาสเกตบอลเมื่ออยู่เกรดแปด เคยได้แชมป์ระดับรัฐสมัยอยู่ไฮสคูลและได้รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า[7] ซึ่งแนชกล่าวว่าเป็นความทรงจำที่ชอบที่สุดเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับกีฬา (one of my fondest memories in sports.)[13] เนื่องจากบิดาของเขาเป็นคนเมืองทอตแนมทางตอนเหนือของลอนดอน[3] แนชเชียร์ทีมสโมสรทอตแนมฮ็อตสเปอร์ อีกทั้งเคยพูดว่าต้องการเป็นเจ้าของทีมฮ็อตสเปอร์อีกด้วย[14] แนชเคยลงซ้อมกับทีมเรดบูลส์ ซึ่งเป็นทีมฟุตบอลในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์เมืองนิวยอร์ก[13]
นอกสนาม
แก้แนชก่อตั้งมูลนิธิสตีฟ แนช เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาส เขาได้ปฏิเสธงานโฆษณาหลายงานหลังจากที่คว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าและเลือกที่จะเดินทางเพื่อการกุศลในอเมริกากลาง แนชยังใช้เวลาเยี่ยมเด็กที่ป่วยตามโรงพยาบาล
แนชยังแตกต่างจากผู้เล่นเอ็นบีเอคนอื่นตรงที่เขาสนใจด้านศิลปะและการเมือง เขาเลือกที่จะใส่เสื้อยืดที่เขียนข้อความว่า "No war -- Shoot for peace" เพื่อต่อต้านการที่สหรัฐโจมตีอิรักในเกมเอ็นบีเอ ออลสตาร์ ปี 2003 เขาอธิบายกับสื่อว่าสหรัฐไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าอิรักเป็นภัยคุกคามและควรปล่อยให้ผู้ตรวจสอบจากสหประชาชาติได้ทำหน้าที่จนเสร็จก่อน
เมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2547 แนชกับแฟนของเขา อะเลจานดรา อะแมริลลา (Alejandra Amarilla) ก็มีลูกสาวฝาแฝดชื่อ ลอลา (Lola) และ เบลลา (Bella) แนชและแฟนสาวแต่งงานกันในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2548
สรุปผลงานการเล่น
แก้- ผู้เล่นทรงคุณค่าเอ็นบีเอ 2 ครั้ง: 2005, 2006
- เกมรวมดาราเอ็นบีเอ 5 ครั้ง: 2002, 2003, 2005, 2006, 2007
- ออล-เอ็นบีเอ 5 ครั้ง:
- ทีมแรก: 2005, 2006, 2007
- ทีมที่สาม: 2002, 2003
- แอสซิสต์ต่อเกมเป็นอันดับหนึ่ง ในเอ็นบีเอฤดูกาลปกติ 3 ครั้ง: 2005 (11.5), 2006 (10.5), 2007 (11.6)[2]
- แอสซิสต์รวมเป็นอันดับหนึ่ง ในเอ็นบีเอฤดูกาลปกติ 3 ครั้ง: 2005 (861), 2006 (826), 2007 (884)[2]
- เปอร์เซนต์การชู้ตลูกโทษเป็นอันดับหนึ่ง ในเอ็นบีเอฤดูกาลปกติ: 2006 (.921)[2]
- แอสซิสต์ต่อการเล่น 48 นาทีเป็นอันดับหนึ่ง ในเอ็นบีเอฤดูกาลปกติ 4 ครั้ง: 2004 (12.6),[15] 2005 (16.1),[16] 2006 (14.2),[17] 2007 (15.8)[18]
อ้างอิง
แก้- ↑ "Steve Nash". National Basketball Association. สืบค้นเมื่อ 28 March 2020.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 ประวัติผู้เล่นจาก NBA.com profile (เรียกดูข้อมูล 22 ธันวาคม พ.ศ. 2550)
- ↑ 3.0 3.1 3.2 PROFILE: Steve Nash[ลิงก์เสีย], Canoe.ca, 27 กันยายน ค.ศ. 2000 (เรียกดูข้อมูล 22 ธันวาคม พ.ศ. 2550)
- ↑ Steve Nash is NBA Most Valuable Player, InsideHoops.com, 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 (เรียกดูข้อมูล 22 ธันวาคม ค.ศ. 2007)
- ↑ ข้อมูล Martin Nash เก็บถาวร 2009-04-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Canada Soccor.com (เรียกดูข้อมูล 22 ธันวาคม ค.ศ. 2007)
- ↑ Not to Get Too Mystical About It, New York Times, 28 ตุลาคม ค.ศ. 2007 (เรียกดูข้อมูล 22 ธันวาคม ค.ศ. 2007)
- ↑ 7.0 7.1 The Canadian Kid, Fastbreak Magazine, กันยายน/ตุลาคม ค.ศ. 1996 (เรียกดูข้อมูล 22 ธันวาคม ค.ศ. 2007)
- ↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 8.4 8.5 8.6 Steve Nash เก็บถาวร 2016-06-17 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, jockbio.com (เรียกดูข้อมูล 30 ธันวาคม ค.ศ. 2007)
- ↑ Former SCU Basketball Star Steve Nash Honored by Alma Mater, scu.edu, 18 กันยายน ค.ศ. 2006 (เรียกดูข้อมูล 30 ธันวาคม ค.ศ. 2007)
- ↑ 10.0 10.1 Steve Nash Career Stats, NBA.com (เรียกดูข้อมูล 25 ธันวาคม ค.ศ. 2007)
- ↑ Bryant, Nowitzki, Duncan also part of All-NBA team, ESPN, 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 (เรียกดูข้อมูล 22 ธันวาคม พ.ศ. 2550)
- ↑ Dirk Nowitzki Wins 2006-07 MVP Award, NBA.com, 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 (เรียกดูข้อมูล 22 ธันวาคม พ.ศ. 2550)
- ↑ 13.0 13.1 NBA's Nash gets his kicks with MLS, USAToday, 10 สิงหาคม ค.ศ. 2006 (เรียกดูข้อมูล 22 ธันวาคม ค.ศ. 2007)
- ↑ NBA's biggest star shows interest in Spurs, Guardian.co.uk, 31 ตุลาคม ค.ศ. 2007 (เรียกดูข้อมูล 22 ธันวาคม ค.ศ. 2007)
- ↑ NBA statistics for 2003-04 NBA season - Assists: Per 48 Minutes, ESPN (เรียกดูข้อมูล 25 ธันวาคม ค.ศ. 2007)
- ↑ NBA statistics for 2004-05 NBA season - Assists: Per 48 Minutes, ESPN (เรียกดูข้อมูล 25 ธันวาคม ค.ศ. 2007)
- ↑ NBA statistics for 2005-06 NBA season - Assists: Per 48 Minutes, ESPN (เรียกดูข้อมูล 25 ธันวาคม ค.ศ. 2007)
- ↑ NBA statistics for 2006-07 NBA season - Assists: Per 48 Minutes, ESPN (เรียกดูข้อมูล 25 ธันวาคม ค.ศ. 2007)
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- ข้อมูลผู้เล่นจาก Basketball-Reference.com เก็บถาวร 2013-05-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน